"สมมติว่าทุกอย่างที่ผมบอกคุณเป็นเรื่องจริง"
"อะไรคือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด?"
นี่เป็นงานของผมที่จะต้องตอบคำถามพวกนั้น มันเป็นงานของผมมา 22 ปีแล้ว ผมถูกถามคำถามพวกนี้จากทุกคน ตั้งแต่ผู้บริหารบริษัทบุหรี่จนถึงบริษัทผลิตอาวุธให้กองทัพ ชีวิตและความเป็นอยู่ของผมอยู่ที่การให้คำตอบที่ถูกต้อง แต่ครั้งนี้มันกลายเป็นเรื่องไร้สาระไปแล้ว ไอ้"ด๊อกเตอร์"คนนี้มันเอาแต่กวนใจผมและผมก็ไม่รู้ว่ามันทำไปทำไม สถานการณ์ที่มันเอามาถามผมนี่มันไร้สาระ…การสัมภาษณ์ทั้งหมดนี่มันก็ไร้สาระ แต่เอาเถอะผมก็จะได้ค่าจ้างอย่างงามจากการตอบคำถามพวกนี้ ถึงแม้คำถามกับผลลัพธ์และคำตอบมันจะไม่เข้าท่าเลยก็เถอะ
"ด๊อกเตอร์ครับ อันนี้เป็นสถานการณ์ที่แย่ คุณจะสูญเสียการควบคุมโดยสิ้นเชิง ทุกคนที่สามารถหยุดยั้งการแพร่กระจายนี้จะตายกันหมด และใน 24 ชั่วโมงถัดไปทุกคนในระยะร้อยไมล์จะเสี่ยง แต่ถ้าถึงจุดนั้นแล้ว ในสถานการณ์เลวร้ายที่สุดการจะสร้างศูนย์ควบคุมใหม่เป็นสิ่งสุดท้ายที่คุณต้องกังวลเพราะจะมีวัตถุจากอวกาศที่เราตรวจจับไม่ได้กำลังพุ่งมาชนเราจากมุมบอดที่เกิดจากลำแสงสุริยะ ทำให้เราเหลือเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมงที่จะรับมือกับความพินาศ นั่นคือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด"
คุณเคยได้ยินสำนวนนี้มั้ย - ขยะเข้ามา, ออกไปก็เป็นขยะ
"มันเกิดขึ้นไปแล้ว เดือนกันยายน 1992 นักวิจัยคนนึงของผมถูกส่งไปที่ศูนย์สังเกต L3 แล้วเจอสิ่งนี้ก่อนจะเกิดเหตุ 2 สัปดาห์ นั่นคือวันที่ศูนย์สังเกตนั่นคุ้มค่า มันอาจกลายเป็นเรื่องที่แย่ได้ แต่เราก็บันทึกเรื่องนี้นิดหน่อยสำหรับคราวหน้า แล้วก็ทำธุรกิจของเราต่อไป"
"ถ้าคุณไม่ว่าอะไรผมขอตัวสักครู่ ผมจะเอาอะไรมาให้คุณดู"
เจ้าด๊อกเตอร์นี่มันกำลังปั่นหัวผมเล่น แต่ไม่มีใครที่มีระดับการรักษาความปลอดภัยระดับนี้จะพาผมมาเพื่อแค่ปั่นหัวเล่น สัญญาที่จะไม่เปิดเผยข้อมูลที่เขาให้เซ็นต์เพื่อจะพาผมมาที่นี่ถูกร่างด้วยนักกฎหมายที่ดีที่สุดในโลก นี่ไม่ใช่เรื่องตลก เศษความทรงจำของผมค่อยๆกลับมาต่อติดกัน ผมพยายามจำเรื่องที่ผมได้ยินจากข่าวในปี 1994 มีผู้เสียชีวิตจำนวนมากที่มิลล์โคฟ ตำรวจโทษการระบาดของไข้หวัดนกสายพันธุ์ที่เคยเชื่อว่าศูนย์พันธุ์ไปแล้ว
ผมต้องยอมรับ เขาปลูกความสงสัยในหัวผม และผมเริ่มตั้งคำถามว่าผมรู้อะไรบ้าง แต่จินตนาการของผมเตลิดไปไกลเหงื่อเย็นเฉียบไหลออกมาตอนที่ด๊อกเตอร์นั่นกลับมา เขาส่งแฟ้มสามเล่มให้ผมและให้ผมอ่านแต่ละแฟ้มอย่างละเอียดแล้วบอกเขาตอนผมอ่านเสร็จ แฟ้มนึงผมใช้เวลาประมาณสิบนาทีเพื่ออ่านเก็บรายละเอียด ด้วยจำนวนเงินที่เขาจ่ายผมจึงตัดสินใจที่จะเล่นเกมนี้ด้วย ผมกลับมามองด๊อกเตอร์แล้วเขาก็พูดขึ้นว่า "คำถามเดิม สมมติว่าข้อมูลพวกนี้เป็นเรื่องจริง สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดคืออะไร"
ผมส่งแฟ้มเล่มแรกคืนให้เขาแล้วพูด "อันนี้ง่าย อย่าให้ใครแตะต้องมันโดยไม่ใส่ถุงมือ ยัดมันไว้ในตู้ล็อกเกอร์ที่ไหนสักแห่งแล้วอย่าให้ใครมีกุญแจเปิดก็แค่นั้น มันทำอะไรไม่ได้ถ้ามันถูกล็อกอยู่ในกล่อง สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดคือมีใครสักคนคิดว่าสิ่งนี้มันไม่เป็นอันตรายและพยายามเล่นกับมัน"
ผมไล่หน้าของเปิดแฟ้มที่สองเร็วๆอีกครั้งก่อนยื่นคืนเขาแล้วตอบ "อันนี้ยากขึ้นหน่อย เอามันไว้ไกลๆคน และให้คนที่เฝ้าดูมันทำตามคำสั่งของคนที่อยู่นอกพื้นที่ สถานการณ์เลวร้ายที่สุดคือคนเริ่มเห็นใจมัน และปล่อยมันออกมา"
ผมเลื่อนแฟ้มเล่มที่สามคืนแล้วพยายามจะทำสีหน้าให้เรียบเฉย นี่มันเรื่องตลกบ้าๆ มันเหมือนการทดสอบทางจิตวิทยาอะไรสักอย่างเพื่อให้แน่ใจว่าจะคิดนอกกรอบ "ด๊อกเตอร์ครับ นี่ไม่ใช่สิ่งที่คุณจะจัดการได้ มันเป็นปัญหาบ้าๆจากความคิดของนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ คุณควบคุมมันไม่ได้เพราะมันจะคิดออกว่าคุณทำอะไรแล้วมันจะหนีออกมา ทุกครั้งที่คุณพยายามจะทำอะไรมันมันจะแข็งแกร่งขึ้น สักวันคุณจะลองอะไรบ้าๆแล้วมันจะรู้ทันคุณ จากนั้นมันจะฆ่าคุณ และมันจะฆ่าทุกคนที่มันฆ่าได้ และสักวันสักพันล้านปีจากนี้ ตอนที่ฟ้าผ่าใส่บ่อโคลนและเริ่มกำเนิดสิ่งมีชีวิต มันก็จะค้นหาแล้วทำลายชีวิตนั้น เจ้านี่เป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด"
"คุณมีคำถามอื่นอีกไหม?"
"ไม่ครับ คุณฮานฟอร์ด แต่ผมขอเสนองานให้คุณทำงานกับสถาบัน"