SCP-800-TH
rating: +13+x

วัตถุ# SCP-800-TH

ระดับ : Euclid

มาตรการกักกันพิเศษ: ปัจจุบัน สถาบันได้ร่วมมือกับองค์กรบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ (NASA) ติดตั้งดาวเทียมพร้อมอุปกรณ์สำรวจและอุปกรณ์เพื่อกักกัน SCP-800-TH ไว้ทั้งหมด 2 ดวง ประกอบไปด้วย

  • ดาวเทียม Olympus X-1 “The Observer” : เป็นดาวเทียมสำหรับจับตาดู SCP-800-TH ซึ่งอยู่นอกชั้นบรรยากาศโลก ซึ่ง Olympus X-1 จะติดตั้งกล้องตรวจจับความเร็ว , กล้องตรวจจับอุณหภูมิ และอุปกรณ์สำหรับดักสัญญานที่วัตถุได้ส่งออกมาและส่งลงมายังภาคพื้นดินโดยตรงสู่สถานีรับสัญญานบนผิวโลก ตำแหน่งดาวเทียมปัจจุบันนั้นไม่แน่นอน อันเนื่องมาจากดาวเทียมจะต้องรักษาระยะห่างจากวัตถุอย่างน้อย 30 กิโลเมตร จึงทำให้ดาวเทียมจะเคลื่อนที่ตลอดเวลา
  • ดาวเทียม Astovieas III-BS “The Disruptor”: เป็นดาวเทียมที่ไม่เคลื่อนที่ ซึ่งตำแหน่งนั้นอยู่บริเวณละจิจูดที่ [ข้อมูลปกปิด],ลองติจูดที่ [ข้อมูลปกปิด] เหนือประเทศ ██████ ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของสถานีรับสัญญานภาคพื้นดินของดาวเทียมทุกดวง ดาวเทียมดวงนี้จะติดตั้งอุปกรณ์สำหรับก่อกวนสัญญานที่ SCP-800-TH แผ่กระจายออกมาทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น สัญญานวิทยุ,คลื่นรังสี,สัญญานโซนาร์ ฯลฯ เพื่อมิให้อุปกรณ์ที่มิใช้ของสถาบันรับสัญญานนี้และยิงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มองไม่เห็นเพื่อก่อกวนกล้องโทรทัศน์วิทยุที่เป็นของเอกชนและของภายองค์กรภายนอกที่มิได้มีส่วนรับรู้กับวัตถุนี้เพื่อมิให้กล้องโทรทัศน์เหล่านั้นมองเห็นวัตถุจากฟ้าได้ เพื่อปกปิดข้อมูลของ SCP-800-TH มิให้ออกสู่สาธารณชน

ดาวเทียมทั้ง 2 จะได้รับการซ่อมบำรุงทุกๆ 2 เดือนโดยเจ้าหน้าที่ของสถาบันที่ประจำการ ณ สถานีอวกาศนานาชาติของ NASA แต่ยกเว้น Olympus X-1 หาก Olympus X-1 โคจรรอบโลกครบ █ รอบ ช่างเทคนิคของสถาบันจะต้องตรวจเช็คสภาพของไอพ่นของดาวเทียมและตรวจสอบแผงพลังงานแสงอาทิตย์ให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานตลอดเวลา เพื่อให้การกักกันวัตถุมีประสิทธิภาพสูงสุด

ดาวเทียมทั้งหมดจะถูกความคุมด้วยสถานีทางภาคพื้นดินโดยมีเจ้าหน้าที่ประจำสถานีตลอด 24 ช.ม เพื่อเตรียมการแปลงสัญญานที่มาจากวัตถุ ซึ่งปัจจุบันไม่สามารถ คาดเดาได้ว่า วัตถุจะส่งสัญญานเมื่อใด และเอกสารแปลจากสัญญานที่วัตถุได้ส่งมา ให้นำส่งให้ดร.แสลงค์เก็บไว้ ณ ห้องเก็บเอกสารที่ 31 ในศูนย์วิจัย NISROP

หากวัตถุนั้นทำการส่งรูปแบบสัญญานที่ผิดแปลกไปจากเดิม ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ของสถาบันทางภาคพื้นทันที เพื่อทำการตรวจสอบลักษณะของสัญญานเหล่านั้นและทำการประดิษฐ์อุปกรณ์ก่อนกวนสัญญานดังกล่าวพร้อมกับติดตั้งลงบน “The Disruptor” ทันที

“สัญญานที่สามารถรับได้หากหาคลื่นต้นทางพบ”(เช่นรหัสมอส,รหัสอินิกมาร์,สัญญานเสียงวิทยุ) นั้นให้ใช้อุปกรณ์รับสัญญานดังกล่าวเชื่อมต่อกับ SCP-800-TH ไว้ตลอดเวลา เพื่อให้อุปกรณ์ของสถาบันเท่านั้นที่สามารถรับสัญญานดังกล่าวได้

รายละเอียด: SCP-800-TH คือวัตถุสีดำทรงปริซึมสี่เหลี่ยมผืนผ้า ที่ไม่ทราบที่มาและสภาพภายใน วัตถุนั้นมีความกว้างประมาณ 120 X 100 X 70 เมตร (กว้างXยาวXสูง) มีแท่งเสาสูงจำนวนหนึ่ง ออกจากด้านที่คาดว่าเป็น “ด้านข้าง” ทั้งสองด้านของวัตถุซึ่งเสาเหล่านั้นคาดว่าเป็น “เสาสัญญาน” ด้านท้ายของวัตถุนั้นมีอุปกรณ์ทรงสี่เหลี่ยมที่มีความกว้างประมาณ 3.5 X 3.5 เมตรจำนวน 4 ชิ้น อยู่ทั้ง 4 มุมของวัตถุซึ่งคาดว่าเป็น “ไอพ่น” ของวัตถุ เนื่องมาจากรอบนอกของอุปกรณ์ดังกล่าวนั้นมีคราบเขม่าดำจำนวนมาก สภาพภายนอกของวัตถุนั้นมีความเสียหายจำนวนมาก อาทิเช่น รอยฉีก , รอยถลอก , รอยเจาะทะลุ , และรอยไหม้เสียหายจำนวนมาก

วัตถุนั้นลอยอยู่เหนือจากพื้นผิวของโลกประมาณ ███ กิโลเมตร โดยที่อยู่เหนือระดับดาวเทียมทั่วไป ประมาณ █ กิโลเมตร และวัตถุจะคงความสูงดังกล่าวต่อไปโดยไม่มีการเพิ่มขึ้นหรือลดลงแต่อย่างใด

วัตถุนั้นมีสิ่งที่คล้ายกับ “กำแพงที่มองไม่เห็น” ปกคลุมอยู่บริเวณรอบนอกของวัตถุทั้งหมดและกำแพงดังกล่าวนั้นจะปล่อยพลังงานที่ไม่รู้จักสู่สิ่งที่ “แตะ” และทำให้สิ่งของดังกล่าวนั้น “สลาย” ในระดับที่เล็กกว่า 300 นาโนเมตรและไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ และกำแพงยังปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ไม่รู้จักออกมาเป็นจำนวนมา วัตถุสร้างกำแพงที่มืดทึบปกปิดบริเวณให้รอยเสียหายขนาดรุนแรงจำนวนมากอีกด้วย นั้นเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าหน้าที่ของสถาบันนั้นไม่สามารถเข้าไปภายในของวัตถุและสังเกตภายในด้วยวิธีการต่างๆได้เลย

ในทุกๆวันในเวลาที่ไม่แน่นอน วัตถุจะกระจายสัญญานในรูปแบบของ รังสีจำนวน █ รูปแบบ,สัญญานที่มีช่วงคลื่นคล้ายกับไมโครเวฟจำนวน █ รูปแบบ ,สัญญานในรูปแบบ ”บีคอน” (Beacon) ที่สามารถตรวจจับบนหน้าปัดเรดาห์อีก █ รูปแบบ และสัญญานประเภทที่สามารถรับได้ถ้าหากสามารถหาคลื่นต้นทางพบ เช่น รหัสมอส(Morse Code),รหัสอินิกมาร์ (Enigma Code)และสัญญานวิทยุสื่อสารที่เสียงนั้นจะจับใจว่าเป็นตัวอักษรนาโต้โฟนิกส์ (NATO phonetic alphabet) ซึ่งเสียงนั้นมีความทุ้มต่ำมากจนไม่สามารถจับใจความได้ถ้าหากไม่ใช้อุปกรณ์ดัดแปลงเสียง สัญญานทั้ง 3 นั้นสามารถเชื่อมต่อได้เพียงอุปกรณ์ชิ้นเดียวและเชื่อมต่อได้เพียง 1 เครื่องต่อ 1 รูปแบบของสัญญาน

สัญญานเหล่านั้นมีระยะเวลาของแต่ละสัญญานไม่เท่ากัน ซึ่งสถาบันสามารถบันทึกได้ตั้งแต่ 7 นาที-123 นาที

สถาบันได้รับความสนใจเกี่ยวกับรายละเอียดของวัตถุในวันที่ ██/█/19██ เมื่อกล้องโทรทัศน์อวกาศในประเทศ ██████ ซึ่งเป็นของเอกชน สามารถตรวจจับกลุ่มก้อนสนามแม่เหล็กไฟฟ้าปริมาณ ██████ เกาส์ พุ่งตรงมายังโลกด้วยความเร็ว 6,000,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อวัตถุเคลื่อนที่เข้าถึงในระยะ 558 ล้านกิโลเมตรจากชั้นบรรยากาศโลก (ระยะทางจากดาวพฤหัสถึงโลก) วัตถุได้หยุดการปล่อยสนามแม่เหล็กและลดความเร็วลงเรื่อยๆเหลือเพียงความเร็วคงที่ 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

สถาบันได้รับเหตุแจ้งเตือนจากองค์กรบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติว่าพบวัตถุที่ไม่ทราบที่มาเคลื่อนที่เข้ามายังโลกด้วยความเร็วสูง สถาบันจึงส่งกระสวยอวกาศที่ติดตั้งดาวเทียมสำหรับสำรวจชั้นบรรยากาศและดัดแปลงให้เป็นกล้องโทรทัศน์ขนาดใหญ่เพื่อติดตามวัตถุอย่างใกล้ชิด

เมื่อผ่านไป ██ วัน วัตถุได้เคลื่อนที่เข้ามาในระยะ ███ กิโลเมตร วัตถุได้หยุดและโคจรรอบโลก พร้อมกับปล่อยสัญญานดังกล่าวออกมานับแต่นั้นมา

ภายหลัง เจ้าหน้าที่ที่ประจำการ ณ สถานีกล้องโทรทัศน์เอกชนและผู้ไม่เกี่ยวข้องได้ถูกลบความทรงจำและปล่อยตัวภายหลัง สถาบันได้ดัดแปลงดาวเทียมสำรวจก่อนหน้าเป็นดาวเทียม "Observer" หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่พบความผิดปกติใดๆเพิ่มเติม


ภาคผนวกที่ 800-LH1: ตัวอย่างของสัญญานต่างๆ

ตัวอย่างของสัญญานที่วัตถุปล่อยออกมาในรูปแบบ “รหัสมอร์ส” (ระยะเวลา 16 นาที 38 วินาที) ถูกปล่อย ณ วันที่ ██/██/19██ ซึ่งถูกปรับให้อยู่ในรูปแบบสัญลักษณ์


ตัวอย่างของสัญญานที่วัตถุปล่อยออกมาในรูปแบบ “รหัสอินิกมาร์” (ระยะเวลา 23 นาที 41 วินาที) ถูกปล่อย ณ วันที่ ██/██/19██ ซึ่งถูกปรับให้อยู่ในรูปแบบสัญลักษณ์ ซึ่งสามารถอ่านได้โดยใช้รูปแบบอินิกมาร์ดังนี้

Roter ที่ : I-██-V
Roter Start :J██
Ring :█AS
Plugboard "HA SR ██ FO MI ██ NG LX ██ ██


ตัวอย่างของสัญญานที่วัตถุปล่อยออกมาในรูปแบบ “นาโต้โฟนิกส์” (ระยะเวลา 117 นาที 37 วินาที) ถูกปล่อย ณ วันที่ ██/██/20██ ซึ่งถูกปรับให้อยู่ในรูปแบบของอักษรภาษาอังกฤษ


รหัสดังกล่าวได้ถูกถอดความเป็นภาษาต่างๆเรียบร้อยสามารถอ่านได้ที่นี่

Unless otherwise stated, the content of this page is licensed under Creative Commons Attribution-ShareAlike 3.0 License