สำนักงานเต็มไปด้วยเสียงอื้ออึงด้วยกิจกรรมที่ไม่มีที่มาที่ไปจากอะไรเลยจากบุคคลที่ควรจะอยู่ที่นั่น ความตั้งใจของผู้ครอบครองได้ดับวูบลงผ่านทางการเติมยาชาลงในระบบปรับอากาศของอาคารกลางเมื่อนาทีที่แล้วเพื่อเคลียร์พื้นที่ให้โล่งสำหรับแรงงาน
การเร่งรีบและความวุ่นวายทั้งหมดของชายทั้งสองที่ยืนที่เลื่อนออกอย่างเล็กน้อยไปข้างหนึ่ง พวกเขาทั้งสองคนแต่งกายในชุดสูทที่เลิศเลอ (และราคาถูก) ของช่างตัดเสื้อพิเศษเฉพาะตัวมากซึ่งไม่มีชื่อเสียง ชายทั้งสองคนจ้องมองดูอย่างเงียบเชียบเมื่อลังที่บรรจุเป็นหีบห่อทั้งสามลังได้รับการขนลำเลียงเข้ามาในสำนักงาน
กิจกรรมทุกๆอย่างที่ดำเนินอยู่ภายในห้องได้หยุดลงทันทีที่ลังได้เคลื่อนตัวผ่านธรณีประตูเข้ามา สายตาทุกคู่ต่างตามจับจ้องกล่องลังเหล่านั้นอย่างช้า ๆ ในขณะที่กล่องลังเหล่านั้นได้เคลื่อนตัวผ่านอย่างช้า ๆ ไปยังประมาณตรงกลางห้องและก็ตั้งตัวลง
แรงงานผู้หนึ่งนำเลื่อยออกมาและเลื่อยลงไปยังทางด้านบนของลัง สายตาทุกคู่ต่างก็ยังจับจ้องอยู่เช่นเดิม ในขณะครั้งหนึ่งที่มีบางคนบ้างก็กระพริบตา บ้างก็เอาใจใส่เป็นพิเศษโดยการกระพริบตาอย่างรวดเร็วมาก ๆ
ในส่วนของด้านบนได้รับการเคลื่อนย้ายออกไป แรงงานหลายคนได้ก้าวขาเดินออกมาและช่วยกันดึงหุ่นคอนกรีตจำนวนสามชิ้นออกมา หากพวกเขาได้ใส่ใจที่จะสังเกตท่ามกลางหมอกแห่งความหวาดกลัวที่แขวนบนสายตาของพวกเขา พวกเขาได้สังเกตถึงหุ่นรูปร่างลักษณะประหลาดต่าง ๆ ที่แลดูเหมือนกับหางเปียคอนกรีตสำหรับหุ่นที่มีขนาดเล็กที่สุด หรือแลดูเหมือนกับหมวกเบสบอลคอนกรีตสำหรับหุ่นที่มีขนาดปานกลาง หรือแลดูเหมือนชุดเสื้อผ้าคอนกรีตสำหรับหุ่นที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
ทันทีที่หุ่นตัวต่าง ๆ ได้รับการจัดเรียงเข้ามาภายในห้อง ผู้คนจำนวนมากก็เริ่มที่จะทยอยเดินออกจากห้องอย่างช้าๆอย่างระมัดระวังเป็นอย่างมากที่จะเลี่ยงไม่มองดูที่รูปหล่อคอนกรีตพวกนั้น ชายในชุดสูททั้งสองคนเป็นพวกบุคคลสุดท้ายที่ออกจากห้อง พวกเขาปิดไฟในขณะที่พวกเขาก้าวถอยออกทางประตู
ไม่กี่นาทีต่อมา ชายทั้งสองคนกำลังนั่งอยู่บริเวณหน้าต่างของร้านอาหารตรงข้างถนน พวกเขากำลังวางรายการสั่งอาหารของพวกเขา
“ฉันแปลกใจจริงๆที่นายมานะเนี่ย” ชายผู้หนึ่งที่กำลังนั่งอยู่ทางด้านขวาเอ่ยกับบุคคลอีกคนหนึ่ง “นายมักจะสะใจมากที่นั่งเอนหลังและให้คนอื่น ๆ คอยทำงานให้”
“ของบางอย่างมันต้องแตะเป็นการส่วนตัวหน่อยนะ มาร์แชล” ชายผู้ที่กำลังนั่งอยู่ทางด้านซ้ายเอ่ย “นายจะได้เรียนรู้เรื่องนั้นเมื่อนายอายุมากขึ้น”
มาร์แชลถอนหายใจอย่างแรง “ฉันแก่กว่านายนะ จำได้มั้ยคาร์เตอร์ หรือว่ามันแค่หายไปในเมฆหมอกแห่งความแก่ชราซะแล้วล่ะ”
“งั้นก็ทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่กว่านี้หน่อยสิ” คาร์เตอร์เอ่ย “บางครั้งบางคราวฉันชอบที่จะเป็นส่วนหนึ่งของบางสิ่งบางอย่างประมาณนี้ มันทำให้ฉันระลึกถึงวันเก่า ๆ”
“แน่นอน วันเก่า ๆ” มาร์แชลเอ่ย “ย้อนไปเมื่อตอนที่อากาศยังบริสุทธิ์ เศรษฐกิจก็เป็นแบบเสรีนิยม และมีสงครามผลกำไรมากมายอยู่รอบด้าน” เขาหยุดพูดไปช่วงวินาทีหนึ่ง “และก๊าซก็แค่ 10 เซนต์ต่อแกลลอนเอง ฉันลืมอะไรที่ซ้ำซากจำเจมากไปกว่านี้มั้ย”
“ทุกๆคนก็แก่กันแค่ไหนแล้ว ฉันเชื่อว่านะ” คาร์เตอร์เอ่ย “โอ้ การตอบรับอันแรกก็นี่ล่ะ” เขาดูนาฬิกาของเขาจากนั้นก็ดึงกระเป๋าสตางค์ออกมาและวางบิลไว้บนโต๊ะ สำหรับพวกเขานั้นมันเป็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย สำหรับบุคคลอื่น ๆ ภายในร้านอาหารมันอาจเทียบเท่ากับการถูกลอตเตอรี่ตั้งสองครั้ง
“ฉันได้บอกนายว่าอะไร” มาร์แชลเอ่ย “พวกมันมารอบๆนี้อย่างรวดเร็ว โอ้ว” เขาเอ่ยเมื่อมีรถตู้คันหนึ่งซึ่งมีข้อความกำกับว่า “ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เลือกสรร”1 ได้จอดเทียบข้าง ๆ กับรถพยาบาลและรถตำรวจ “พวกมันก็อยู่ที่นี่ด้วย เร็วมากจริง ๆ ฉันเกือบจะประทับใจซะแล้วสิ”
“พวกมันอาจจะมีสำนักงานอยู่ที่นึงภายในแผนกพวกนั้นก็ได้” คาร์เตอร์เอ่ย “เอ่อ ก็มีล่ะนะ”
มาร์แชลจ้องมองที่รถตู้ “มันเล่นงานฉันทุก ๆ ทีเลย” เขาเอ่ย
“อะไร รสนิยมเรื่องรถของพวกมันเรอะ”
“ไม่ใช่ ๆ นิสัยการย่อตัวอักษรของพวกมันต่างหาก มันตลกดีน่ะ”
คาร์เตอร์ยักไหล่ “ก็พวกมันมาจากอเมริกานี่” เขาเอ่ย “นายหวังให้พวกมันเป็นทุกๆอย่างที่ไม่ประเจิดประเจ้อไม่ได้หรอก อย่างน้อยพวกเราก็มีความคล้ายคลึงกันของบางระดับบ้างล่ะ”
มาร์แชลถอนหายใจแรง “ก็ใช่ อย่างน้อยพวกเราก็ไม่เคยจะตั้งชื่อบังหน้าว่า “เครื่องมือหลากหลายวัฒธรรม”2 หรือประมาณนั้นนี่นา”
“ฉันคิดว่าคำที่ใกล้เคียงที่สุดที่พวกเราได้ก็คือคลับดูแรงโก้ ส่วนตัวนะ” คาร์เตอร์เอ่ยในขณะที่กำลังนั่งเอนหลังตรงที่นั่งของเขาและมองดูรถตู้ของผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่เลือกสรรคันอื่น ๆ ที่ตามมาจอดสมทบ “มีมากเกินไปแล้วในส่วนของนาย ฉันนึกมาตลอดเลย”
คลับดูแรงโก้เป็นคลับแห่งหนึ่งที่เฉพาะตัวมากที่สุดในกรุงลอนดอนซึ่งเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยการโน้มน้าวใจที่แน่วแน่ที่อาจจะมาและหลงระเริงในความสกปรกเลวทราม ตรงตามตัวอักษรเลยที่ว่าเศษสวะได้ถูกลากเข้ามาในการสร้างเป็นบรรยากาศที่แท้จริงที่เป็นไปได้เมื่อเหล่าบรรดาสมาชิกต่างพากันมาและเข้าไปในรถลีมูซีน โทมัส ดูแรงโก้ บุคคลที่นามสกุลเหมือนกับชื่อคลับได้เคยพยายามจะทรยศหักหลังมาร์แชลในการซื้อขายทางการเงินเมื่อนาน ๆ มาแล้ว
การรำลึกถึงอดีตของพวกเขาได้ถูกขัดจังหวะโดยรถตู้ข่าวที่ตามมาจอดสมทบกับรถยนต์สีดำคันต่างๆที่ไม่มีเครื่องหมายใด ๆ
“พวกมันลื่นไหลกันจังนะ” มาร์แชลเอ่ย “ครั้งนี้ก็เอาชนะพวกสถาบันไม่ได้เลย”
คาร์เตอร์ยักไหล่ “เอาชนะครั้งแรกไม่ได้ตลอดเลย” นอกจากว่าคุณจะเป็นคาร์เตอร์ “พูดเลยละกันนะ นายคิดว่าพวกมันจะให้ข่าวปกปิดมั้ย”
“หืม” มาร์แชลเอ่ย บรรดานิ้วของเขาตั้งขึ้นตรงหน้าเขา “ยากที่จะพูดแหะ พวกมันปิดแหล่งข่าวต้นได้แน่ ๆ แต่ถ้าเรื่องนี้มันกระจายไปถึงเบื้องหลังพวกมัน…พวกมันอาจได้มีงานในมือบ้าง” เขาเผยรอยยิ้มให้กับความคิดนี้ “ขอบคุณพระเจ้าสำหรับอินเตอร์เน็ต”
“ฉันแปลกใจจริงๆว่าพวกมันจะทำอะไร” คาร์เตอร์เอ่ย เมื่อรถตู้ข่าวพากันมาจอดกันมากขึ้นและโบกมือโดยหุ่นที่ดูไม่น่าสนใจที่ตั้งท่าอยู่ตรงหน้าประตูบานต่าง ๆ
“ข่าวหรอ” มาร์แชลเอ่ยถาม “หรือพวกสถาบัน”
“ทั้งคู่เลย มันคงจะเป็นการเซอร์ไพรซ์ที่น่าแขยะแขยงสำหรับพวกมันทั้งหมด”
มาร์แชลหัวเราะเบา ๆ “สมาชิกในครอบครัวทั้งหมดกลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง…ช่างน่าซาบซึ้งอะไรเช่นนี้ ยกเว้นพวกหุ่นพวกนั้นขยับได้ในตอนที่มองดูล่ะนะ ช่างฉลาดกันจริง ๆ”
คาร์เตอร์ยักไหล่ “พอเป็นไปได้สำหรับกลุ่มโรงเรียนศิลปะกลุ่มนึงที่อวดเก่งที่ดันออกกลางคัน นายเห็นโน้ตที่ฉันวางไว้มั้ย”
“ทุกๆชิ้นที่ดีของศิลปะสมควรจะได้รับผลที่ตามมา แต่แม้กระทั่งผลงานชิ้นเอกที่น่ากลัวที่สุดยังต้องขยายเพิ่มมากขึ้นเลย พวกเราเจ๋งอ๊ะยัง” มาร์แชลยกคำพูดมา “ฉันนึกว่ามันจะเป็นพวกขี้อวดตัวน้อย ๆ ซะอีก ฉันว่านะ แต่นั่นก็เพราะว่าฉันมีรสนิยมน่ะสิ”
“ใช่ ๆ” คาร์เตอร์เอ่ย “ฉันล่ะสงสัยถ้าพวกมันจะหาความช่วยเหลือต่าง ๆ ที่พวกเราจัดจ้าง ฉันล่ะสงสัยถ้าพวกมันจะนึกออกแล้วว่าพวกเราโกหกพวกมัน” เขาได้เงียบไป พวกเขาทั้งคู่นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง กำลังจ้องมองในขณะที่รถยนต์ยังต่างพากันขับมาจอดเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในตอนนี้ช่วงตึกได้เต็มไปด้วยพวกมันและไม่เพียงแค่สถาบันและกลุ่ม GOC เท่านั้น กลุ่มอื่น ๆ ที่เล็กกว่าก็อยู่ตรงนั้นก็พามากันอยู่รอบ ๆ ไซต์ กำลังจ้องมองสำหรับความเป็นไปได้ของวัตถุผิดปกติอะไรก็ตามที่หลงเหลืออยู่ที่อาจจะเล็ดลอดออกมาจากการสังเกตของชายหนุ่มผู้ยิ่งใหญ่
คาร์เตอร์ได้เอ่ยออกมาอีกครั้งหลังจากช่วงซักพักหนึ่ง “ในระหว่างสงครามพิวนิคครั้งที่สาม ฉันเพิ่งจะจำได้ว่ามีสมาชิกวุฒิสภาชาวโรมคนหนึ่งที่พูดตบท้ายทุก ๆ สุนทรพจน์ด้วย “นอกจากนี้ เป็นความเห็นของฉันที่เมืองคาร์เธจจะต้องถูกทำลาย””
มาร์แชลจ้องมองที่เขาอย่างประหลาดใจ “มันมาจากไหนเนี่ย” เขาเอ่ยถาม
“ฉันกำลังคิดเกี่ยวกับพวกโรมันแค่ตอนนี้นะ ขนมปังและพวกละครสัตว์และอื่น ๆ เรื่อย ๆ” เขานั่งเอนหลังตรงที่นั่งของเขา “ขอบเขตความโง่เขลาของพวกจน ๆ ที่เคยมีน่ะมีแค่ไหน”
มาร์แชลยักไหล่ “ยุคสมัยมันต่างกัน ฉันคาดหวังว่าในร้อย ๆ ปีพวกเราจะมองดูย้อนหลังไปในวันนี้และประหลาดใจในความน่าทึ่งพิศวงที่รูปแบบดั้งเดิมของพวกเราที่ความบันเทิงเคยมีมาแค่ไหน”
“ฉันเดานะ อย่างน้อยวิธีการของพวกเราก็ไม่ได้ป่าเถื่อน ทางนี้มันได้ดึงดูดต่อทุก ๆ คน คนธรรมดา ๆ สามัญอยู่บนถนน” ตรงนี้เขาเคลื่อนไหวถึงหน้าต่างและทุก ๆ สิ่งที่อยู่ด้านนอก “และสุภาพบุรุษแห่งยามว่าง” เขาออกท่าทางที่ตัวเขาและมาร์แชล
“อ่า ขอบคุณ” มาร์แชลเอ่ยเมื่อพนักงานเสิร์ฟหญิงได้ยกอาหารของพวกเขามาวางและจากไป เขายกถ้วยกาแฟดำ “งั้นดื่มอวยพรกัน”
“แด่ขนมปังและพวกละครสัตว์” คาร์เตอร์เอ่ย
“แด่พรมแดนเขตใหม่” มาร์แชลเอ่ย
“พรมแดนเขตใหม่หรอ” คาร์เตอร์เอ่ยถาม
“พวกมันมาเปิดตัวได้ทุก ๆ ที่เลย” มาร์แชลเอ่ย “ถ้านายรู้ว่าจะมองไปตรงไหนล่ะก็นะ”
คาร์เตอร์ยักไหล่ “ฉันก็จะดื่มให้ละกัน”
พวกเขาชนแก้วกันจากนั้นก็เริ่มรับประทาน อาหารก็อร่อยใช้ได้แต่ไม่มีอะไรที่น่าสนใจ ข้างนอกมีการปะทะคารมที่ได้ปะทุขึ้นมาระหว่างสถาบันกับกองกำลังของสมาพันธ์ในขณะที่ยอดไม้เลื้อยบาง ๆ ของความตื่นตระหนกตกใจเริ่มที่จะแพร่ขยายออกไป