สายตาที่เหม่อลอยของผมจดจ้องไปที่อาหารในตู้เย็นที่มีอยู่แน่นมากมายเหลือขนัด ชีวิตสโลวไลฟ์กับงานสบายๆ อย่างจ้องหน้าคอม คอยให้คำปรึกษากับพวกนักศึกษาฝึกบินรุ่นใหม่ที่กำลังเตรียมความพร้อมออกภาคสนามวันนึงก็ไม่กี่ชั่วโมงแล้วจบคลาสไป ผมเบื่อระดับนึงเลยแหละที่หลังจากเซ็นใบลาออกมาจากที่ทำงานเก่า ชีวิตที่เริ่มเข้าวัยผู้ใหญ่อีกระดับมันก็ค่อยๆ ก้าวเข้ามา ประสบการณ์ที่ผ่านมามันก็สอนผม สอนว่าอย่าไปยึดติดกับอะไรง่ายๆ ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงเสมอ
และแล้วผมหยิบกระป๋องเบียร์บัตไวเซอร์เย็นเจี๊ยบออกมา ไอน้ำเย็นสุดจะพรรณนาไหลผ่านมืออันด้านกรังของผมจนผมรู้สึกได้ถึงความเย็นที่แผ่ออกมา เล็บอันน้อยนิดของผมแงะฝากระป๋องเบียร์ออกมาช้าๆ เสียงฟองโซดาอัดแน่นในกระป๋องปะทุออกมาพร้อมกับกลิ่นหอมของเบียร์รสโปรดของผม ไม่ช้านักผมเลยเดินไปนั่งที่โซฟาตัวโปรดของผมก่อนกระดกเบียร์เย็นเจี๊ยบอย่างกระหยิ่มใจ
พลางนึกเรื่องไปๆ มาๆ ก็นึกได้ว่าน้องสาวผมไม่ได้ส่งข้อความมาหาผมประมาณสองวันได้ เข้าใจเลยแหละว่าคงยุ่งกับงานที่หลายคนก็รู้ว่าที่ไหน ยังดีที่ลาออกมาแล้ว ไม่ต้องมาปวดหัวอะไรแบบนั้นอีก
ผมดื่มเบียร์จนหมดครึ่งกระป๋อง เลยว่ากำลังจะเดินไปหยิบ Ipad ออกมาเช็คบิลที่ยังค้างรายจ่ายอยู่ พอระหว่างหางานทำใหม่ ภาระหนี้สินที่ผมทำไว้มันก็เริ่มพูนเรื่อยๆ ยังดีที่มีเงินหลังจากลาออกก้อนใหญ่ ยังคงพยุงไปได้อีกนานโขนึง แต่ถ้าไม่รีบหางานที่มั่นคง เงินที่มีมันก็จะหมดไปแน่ๆ ในไม่ช้า
ใช้เวลาไม่นานไปหยิบ Ipad ออกมา เข้าไปดูเมลล์ เลื่อนไปสิบช่องก็เจอแต่หนี้ค้างจ่าย น่าเบื่อจริงๆ
ระหว่างที่เช็คเมลล์รายจ่ายที่ต้องชำระเพลินๆ สายตาของผมสะดุดตาไปเตะเข้ากับช่องเมลล์ที่ส่งเข้ามาในกล่องข้อความรวมของผม ด้วยความสงสัยเลยกดเข้าไปดู
“ข้อผิดพลาด นามสกุลไฟล์ไม่ถูกต้อง”
ผมด้วยความสงสัยระคนกังวลที่เริ่มก่อตัว สัญชาตญาณของผมที่ทำงานเก่ามันกระตุกต่อมผม ผมรู้ดีว่าควรทำอะไรยังไง
ผมเดินไปที่โต๊ะเขียนเอกสารเก่าๆ มีแต่กองแฟ้มเต็มไปหมด ผมดึงลิ้นชักที่อยู่มุมขวาล่างสุดออกมา เจอกล่องเหล็กขึ้นสนิมเก่าๆ ก่อนจะหยิบออกมาช้าๆ ผมนำไปวางที่โต๊ะที่ผมวางของอยู่เต็มไปหมด ผมค่อยๆ เปิดกล่องเหล็กช้าๆ ภายในมีพวกซองจดหมายที่ยังดูไม่เก่ามากกองเต็มไปหมด ใต้นั้นมีสิ่งของแปลกตาถูกซ่อนไว้ไม่ให้มองเห็นอยู่ ผมยื่นมือหยิบที่สาย USB ต่อกับแท่งสีเหลืองกลมรีรูปร่างแปลกตาเชื่อมเข้ากับไอแพด ในไม่ช้า สิ่งที่ผมต้องการก็ได้เปิดออกมาเป็นไฟล์เอกสารเล็กๆ ที่ขนาดไม่เกิน 45 KB ตัวหัวข้อไฟล์ถูกพิมพ์เป็นตัวพิมพ์ใหญ่แค่อักษรเดียว
“S”
ผมมองตัวอักษรนั้นท่ามกลางความเงียบในตอนเย็น ฟ้าสลัวนอกหน้าต่างค่อยๆ บดบังแสงอาทิตย์ช้าๆ จนกระทั่งแสงหน้าจอเริ่มมีบทบาทต่อการอ่านของผมมากขึ้น จิตใจของผมค่อยๆ จมจ่อมลงไปในอดีตที่ผ่านมาไม่นานนัก ภาพฉากในความทรงจำของผมถูกรื้อขึ้นช้าๆ เหมือนกับผมค่อยๆ เลื่อนดูรูปที่ละรูป
ซึ่งมันไม่ง่ายเลยที่จะลืมมันไปพร้อมกับสิ่งที่ผมเคยผ่านมา
———
“สรุปคือ คุณทราบสิ่งที่คุณได้ทำลงไปนะครับ สลาวานอฟ ไม่สิ คุณไม่มีชื่อนี้ต่างหาก เอาเป็นว่าผมเรียกคุณแบบนี้แล้วกัน”
เสียงทำลายความเงียบของห้องประชุมที่มีโต๊ะเหลี่ยมผืนผ้าแบ่งฝั่งของผู้ที่มาประชุมสองฝั่งอย่างชัดเจน ผมและสแลงค์ที่พึ่งปิดไมค์จากการพูดเมื่อครู่จดจ่อไปที่โต๊ะของสลาฟ อดีตเพื่อนเก่าของผม ที่ปัจจุบันในขณะนั้นถูกลดขั้นจนมีตำแหน่งงานเหลือแค่ 0 เพราะสิ่งที่เขาทำลงไป
“ทราบครับ”สลาวานอฟที่ดูแก่กร้านขึ้นกว่าเมื่อก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ด้านข้างของเขามีกลุ่มคนแปลกหน้าที่ดูเหมือนมานั่งเจรจาเกือบประมาณสิบคนเท่ากับกลุ่มสถาบันของผมที่ผมนั่งอยู่
“ข้อหาคุณอย่างแรก”ด็อคเตอร์รันไล่เรียงเอกสารช้าๆ ไปที่อีกฉบับ “จารกรรมข้อมูลด้านเทคโนโลยีของสถาบันเพื่อนำไปใช้กับกลุ่มบุคคลที่สาม และอย่างที่สอง”ด็อคเตอร์รันคั่นจังหวะช้าๆ “คุณดึงบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้องกับความวุ่นวาย จนเกือบที่จะทำให้สถาบันถูกเปิดเผยการคงอยู่ การกระทำดังกล่าว คุณคงทราบดี บทลงโทษของบุคลากรของสถาบันทางเดียวคือการลบความทรงจำของคุณ หรือเลวร้ายที่สุด…”
“ยิงทิ้ง”บุคคลลึกลับกลุ่มที่นั่งกับสลาฟคนนึงพูดขึ้นแทรก เขาเสยผมตัวเองเบาๆ เผยให้เห็นดวงตาเทียมด้านขวาของเขาที่เป็นสีแดงสะท้อนกับแสงไฟภายในห้องประชุม “เห็นไหมทุกคน พอสลาฟทำตัวเป็นโปรมิธีอุสหน่อย เอาเทคโนโลยีของพวกคุณมาพัฒนากับฝั่งของผม ก็โวยวายรุกฆาตจะกำจัดลูกเดียว”
“ฮันต์”ชายผมสีน้ำตาลอีกคนที่นั่งมุมโต๊ะด้านซ้ายสุดพูดดุใส่หนุ่มน้อยคนนั้น “สอนมารยาทไปกี่ครั้งแล้ว นี่ไม่ใช่ละครปาหี่ยิงมุขใส่กัน เรามาเพื่อจบปัญหากับสิ่งที่เราก่อเพื่อทำให้ทั้งเราและกลุ่มพวกเขาไม่ต้องเปิดศึกกันเป็นสงครามที่จะเละทั้งคู่” เขาพูดพลางมองค้อนอย่างแรง “ปากเสียไปกี่รอบมีอะไรดีไหม? ก็ไม่ จำไว้ซะด้วยว่าเสียดวงตาข้างนั้นไปเพราะปากหมาๆ ของแกที่ไปพล่ามใส่…”
“ครับ งั้น…”ผมเป็นฝั่งที่เริ่มตัดบทก่อนที่อีกฝั่งจะตีกันเอง พลางจัดเนคไทของตัวเองเพื่อดึงเรื่องสนทนา “เรามาเข้าเรื่องกันเถอะครับ เลิกตีกันก่อน พวกคุณกลับไปจะไปต่อยกันเองมันก็เรื่องของพวกคุณครับ”
“แบร่”ฮันต์กลอกตากวนประสาทใส่ชายที่ดูเหมือนเป็นหัวหน้าของอีกฝ่าย
“โอเคครับ ผมขอโทษที่เสียมารยาทแทนเด็กคนนี้ด้วยนะครับ” เขากล่าวขอโทษแต่ไม่วายที่มองชายหนุ่มชื่อฮันต์ด้วยหางตาพร้อมกับความเคืองอยู่ในใจ
“ครับ งั้นก็มาที่”สแลงค์ เพื่อนสนิทและหัวหน้าอีกแผนกเข้าสู่เรื่องจริงจังขึ้นมา “พวกคุณมีข้อเสนออะไรไหมที่จะเป็นการรับประกันว่าพวกคุณจะไม่ยุ่งกับพวกเรา พวกเราเองก็ค่อนข้างที่จะวุ่ยวายไปกับการจัดการพวกสิ่งอันตราย เหมือนกับพวกคุณที่พวกคุณทำอยู่ เอ่อ…”สแลงค์เคาะนิ้วลงโต๊ะเบาๆ “อีกที่น่ะครับ…”
ชายหัวหน้ากลุ่มคนดังกล่าวหันส่งสัญญาณไปที่คนที่นั่งถัดจากฮันต์ เป็นชายผมดำ ดูเรียบร้อยมากๆ คิดว่าน่าจะอายุไม่เกิน 25 กำลังเตรียมพูดขึ้นมาพร้อมกับประโยคที่ดูค่อนข้างน่าตกใจ
“จากสิ่งที่เกิดขึ้น”เขาพูดขึ้นมาพลางหยิบแว่นสี่เหลี่ยม ที่ขาแว่นด้านขวามีตัวอักษรสีเงินเขียนเล็กๆ พอสังเกตได้ว่า A อยู่ข้างๆ แย่หน่อยที่ผมไม่เข้าใจความหมาย แต่ช่างเถอะ “ทางผมเองยินดีที่จะยุติความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ส่วนหนึ่งเพราะผม ผมเป็นคนที่ใช้เส้นสายในการพยายามเล่นงานพวกคุณ และ…ทำลายเอกสารการวิจัยบางส่วน รวมไปถึง เอกสารที่มีคุณสมบัติที่พวกคุณเรียกว่า มีม คอยขัดขวางพวกคุณไม่ให้จัดการคุณสลาวานอฟได้”เขาพูดพลางมองทุกคนในห้อง คำพูดของเขาดูเป็นคนที่พูดจาฉะฉาน พร้อมสะกดให้ทุกคนฟัง
“ข้อแรกที่ผมจะจัดการพร้อมกับทีมของผมในจุดแรก ผมจะยอมถอนทีมที่เป็นสายสืบออกจากสถาบันคุณทั้งหมด ขอย้ำว่า ทั้งหมด โดยให้พวกคุณสามารถตรวจสอบรายชื่อและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับบุคลาการที่พวกเราเองส่งมาเพื่อคอยก่อกวนคุณ”ชายคนนั้นยื่นเอกสารให้กับด็อคเตอร์รัน “เรายินดีพร้อมให้ข้อมูลแก่พวกคุณ เพื่อความสบายใจ แต่ทั้งนี้ เราขอสงวนสิทธิ์ให้ข้อมูลรายชื่อสมาชิกทีมของฝั่งพวกเราเอง เพื่อความปลอดภัยทั้งพวกคุณและพวกเรา และเราขอยืนยันว่า จะไม่ทำการแทรกแซงการกระทำใดๆ ของพวกคุณที่ใช้ในการจัดการสิ่งอันตรายของพวกคุณ เพราะนั่นคือสิ่งที่พวกคุณมั่นใจดีพอในฝั่งของคุณว่าพวกคุณรับมืออยู่”เขายิ้มพลางนึกอะไรบางอย่างออก “อ้ออีกเรื่อง…ทางเราได้ทำการปรึกษากันก่อนหน้านี้ กรณีนี้ต้องขอให้คุณรับไว้พิจารณา แต่ผมไม่ทราบว่าสิ่งที่ทางเราร้องขอไปพวกคุณจะตอบรับรึไม่”
“คำร้องขอที่ว่า? อธิบายความหมายของคุณกับสิ่งที่ต้องการจะขอกับพวกเราหน่อย”ผมเปิดไมค์ถามขึ้นมาหลังจากที่พึ่งห้ามมวยไป
“ลบตัวตนของคุณสลาวานอฟในบันทึกของคุณ”เขาพูดขึ้นมา คำพูดเพียงประโยคดังกล่าวเกิดข้อกังขาทางฝั่งของพวกผมกันพักใหญ่
“วอร์เรนต์”สแลงค์กระซิบเรียกผมถึงเรื่องที่เกิดขึ้น “ออกไปคุยกับผมข้างนอกหน่อย”
ผมถอนหายใจสั้นๆ มองหน้าสลาฟ อดีตเพื่อนร่วมงานของผมที่คบกันมานานเกือบสิบปี สายตาของสลาวานอฟไม่แสดงอาการตระหนกตกใจกับสิ่งที่ทางฝั่งของสลาวานอฟพูด ในสายตาของเขามันบ่งชัดว่า เขาเตรียมตัวกับเรื่องดังกล่าวมาพักนึงแล้ว
“ขอตัวซักครู่นะครับ”ผมบอกขอเวลาส่วนตัวซักพักเดินออกมาจากห้องประชุมพร้อมกับสแลงค์ สีหน้าของเขาค่อนข้างหนักใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น เขามองหน้าผมก่อนจะพูดอะไรออกมา
“คำร้องขอจากฝั่งนั้นเมื่อกี้มันก็ยังตั้งแง่ได้สองประเด็น ประเด็นแรก นายฟังนะ”เขาอธิบายกับผม ขณะนั้นผมเลยพิงกำแพงคุยเพื่อผ่อนคลายร่างกายตัวเองหลังประชุมไม่ได้ข้อสรุปมาหลายครั้ง “พวกนั้นพยายามที่จะหลอกให้เราตายใจว่าไม่อะไรกับเราแล้ว แต่ดูสิ่งที่สลาฟทำสิ มันเล่นเราซะค่อนข้างหนักเหมือนกัน จนทั้งชั้นและคนอื่นๆ เริ่มไม่รู้แล้วอะไรเรื่องจริงไม่จริง อย่างต่อมา…”
“อย่างต่อมาไม่ยุ่งก็คือไม่ยุ่ง”ผมพูดด้วยน้ำเสียงตัดบท “ฟังนะสแลงค์ ทั้งนายและชั้นต่างก็รู้ดีเรื่องนี้ แต่ดูจากสิ่งที่หมอนั่นทำเอาเราเจ็บไปเยอะ มันก็คือสิ่งที่ยืนยันเราได้ว่าไม่ควรไว้ใจเขา แต่นายก็ดูจากที่เขาทำ เขาค่อนข้างจะไม่ยุ่งกับเราเท่าไหร่แล้ว เอกสารบัญชีธนาคาร ข้อมูลทุกอย่างก็มอบให้ทาง O5 จนหมดแล้ว ถ้าหมอนั่นตุกติกจริง ข้อมูลที่เรามีเราสามารถจับได้อยู่หมัดแน่ๆ”
“ นายกำลังหมายถึง”เขาเลิกแว่นขึ้น “เขาจะไปจากเราใช่ไหม?”
“แหงสิ ทำท่าเหมือนเป็ดอยากออกไปว่ายน้ำในแม่น้ำหลังบ้านจะตาย” ผมปล่อยมุขตลกขึ้นมา “แต่ติดปัญหาอยู่ที่ ทางฝั่งนั้นไม่ยอมให้ตัวสลาฟกับเรา ข้อเสนอตอนแรกคือให้ทำงานต่อไป ใช่ แต่ดูนายก็รู้ ทุกคนในศูนย์มีเหลือใครมั่งที่ยังชอบไอ้หมอนั่น อยู่ไปก็อึดอัดเปล่าๆ ทางเดียวที่ทำได้นายก็คงรู้”
“ทำยังไงก็ได้ที่จะหยุดการมีตัวตนของเขา ณ ที่นี่ สถาบันเอสซีพีประจำสาขาทั้งประเทศไทยและของทางการ”
สแลงค์ถอนหายใจเฮือกใหญ่เบาๆ หน้าตาดูหนักใจพอสมควร “ทำสงครามประสาทกับไอ้หมอนั่นก็เหนื่อยพอแล้ว ไหนจะเจอเรื่องงานอีก เจอคนจิตป่วยๆ กับอะไรบ้าๆ ก็เล่นชั้นเหนื่อยเหมือนกัน”
“สิ่งที่นายทำได้ ชั้นรู้ นายกำลังจะบอกชั้นว่าชั้นกำลังเข้าข้างสลาฟ เข้าข้างฝ่ายตรงข้าม ใช่ นายพูดถูก แต่เข้าข้างยังไงที่พร้อมจะจบทุกปัญหาที่มันเกิดมาตั้งจะสองปีแล้ว แต่รู้อะไรไหม นายคงจำเซดิสได้ ไอ้หุ่นกระป๋องเดินอย่างกับอัลซิโม่ที่สะดุดก้อนกระดาษล้มนั่นน่ะ ก่อนไอ้หุ่นนั่นจะหายไปตอนเกิดเรื่อง มันก็พูดนัยๆ ว่าถึงสลาฟจะเป็นคนที่พร้อมกัดทุกเมื่อ แต่เวลาผ่านไป อีโก้ภายในใจของหมอนั่นมันก็ลดไปตามกาลเวลา พอลดได้ที่ สลาฟก็พร้อมรับผิดที่จะชดใช้ในสิ่งที่ก่อขึ้น”
“แต่เขาชดใช้อะไรไม่ได้อีกแล้วไง”เขามองไปที่ห้องประชุม “มันสายเกินไปหมดแล้ว มันเละ เลยเถิด เกิดเรื่องปะทะจนเป็นเรื่องของความมั่นคงทั้งสองฝั่ง แล้วคำถามนะ ถ้าเกิดต่อมาเราปล่อยมันไป เราจะมั่นใจได้ยังไงว่าถ้าปล่อยไปจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ซ้ำรอยอีก”
“ถ้าเกิดเรื่องจริง” เสียงลึกลับของสาวคนหนึ่งพูดแทรกเราเข้ามาตอนเรากำลังคุยอยู่ ผมและสแลงค์มองไปยังต้นเสียง พบว่าเสียงนั้นมาจากผู้หญิงคนหนึ่ง หญิงสาวคนนั้นผมจำได้ว่าเธอก็อยู่ในห้องประชุมฝั่งสลาวานอฟเหมือนกัน แต่ไม่ยักเห็นจะสนทนากับใครเขา เธอเดินเข้ามาหาผมและสแลงค์ เธอดูเหมือนสาวอายุประมาณเกือบเข้าเลขสาม ดวงตาสีดำเหมือนอุโมงค์มืดตัดสะท้อนกับแสงไฟบนเพดานมองมาที่ผมและสแลงค์ สแลงค์ทำท่าไม่ค่อยไว้ใจกับสาวคนนั้นนักจนถอยออกมาก้าวหนึ่ง
“พวกคุณคงไม่ได้มาพูดประชุมหาทางออกกันหรอก ไม่สิ ต้องใช้คำว่าถ้าเราเอาจริง เราทราบปัญหาที่เขาก่อขึ้น อีกอย่างเราก็เห็นว่าการมีเรื่องกับทางฝั่งคุณไปมันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาอีก พาลเสียสุขภาพจิตเหมือนที่คุณว่า”เธอมองมาทางผม “ต้องขอโทษด้วยนะที่ฉันแอบฟังพวกคุณคุยกันข้างนอกตอนฉันอยู่ในห้อง แต่ฉันก็เข้าใจพวกคุณว่าพวกคุณก็หนักใจไม่หย่อนไปกว่าเรา”
“นี่คุณ…”สแลงค์ทำหน้าเสีย มองหน้าผม ผมก็มีสีหน้าตกใจไม่ต่างจากเขานัก “คุณเป็นแบบ…พวกนั้นที่เหลือด้วยหรอ?”
“ก็ไม่ทุกคน”เธอตอบสแลงค์ด้วยท่าทางไม่พอใจนัก “คุณช่วยเลิกคิดซักนิดเถอะว่าพวกเราไม่ได้มี สิ่งนั้น เหมือนกันทุกคน นะ…”
“โอเค”สแลงค์มองหน้าเธอเจื่อนๆ “คุณมาหาพวกเราเพื่อกำลังจะบอกว่า คุณก็ยังยืนยันคำเดิมที่จะไม่ส่งตัวสลาฟให้พวกเรา?”
“ก็ใช่อีก อีกอย่าง ฉันเป็นหัวหน้าทีมเหมือนคุณ ก็ต้องดูแลลูกน้อง ฉันและคุณก็รู้ดีว่าสลาฟเป็นยังไง”
“แล้ว คุณ…”ผมถามมั่งหลังจากเงียบมานาน “เอาตรงๆ คุณกำลังจะมาขออะไรเพิ่มอีก”
“งั้นเข้าเรื่องเลยละกัน”เธอพูด “ปัญหาแรกที่เกิดขึ้นคือ คนในฝั่งของคุณไม่ชอบเขาเยอะมากแล้ว และเพื่อไม่ให้เกิดอะไรที่มันจะเขม่นกันอีกต่อจากนี้ ฉันอยากให้คุณสร้างตัวตนปลอมของเขาขึ้นมา ขึ้นมาที่นี่ ไม่ใช่สร้างร่างโคลนนิ่งนะ แต่คือการแก้ไขประวัติของเขา เขียนยังไงก็ตามแต่ ให้เขาถูกลดสถานะจนไม่มีความสำคัญต่อทางคุณอีก ทั้งนี้ทางฉันเองพร้อมที่จะช่วยคุณด้วยทั้งการจัดการเรื่องดังกล่าว ทางฉันเองเข้าใจข้อจำกัดว่า ทางฝั่งฉันไปพูดขอให้พวกคุณทำแบบนี่ตรงๆ ไม่ได้ แต่ คุณ คุณซิลเวสเตอร์ คุณเป็นถึงหัวหน้าของอีกศูนย์หนึ่งเลยนะ ฉันมั่นใจว่าคุณก็ผ่านเรื่องการตัดสินใจมาเยอะ คุณก็คงรู้ดีว่าจะต้องทำยังไงไม่ให้เขาถูกเพ่งเล็งอีก
“ผมทราบครับ”สแลงค์มองไปที่สาวคนนั้น
“คำถามคือ จะทำยังไงไม่ให้เขาและทางคุณถูกหยุดการมีตัวตน”ผมถามเธอ
“เขียนให้ทางฝั่งของฉันตีตกไปเป็นแค่เป็นกลุ่มก่อกวนความสงบ”เธอพูด “อีกข้อคือทำให้เขาเป็นนักโทษที่ถูกควบคุมตัวแบบพิเศษในพื้นที่คุมขังเขตเฉพาะของพวกคุณ
“โว้วคุณ”ผมแทรกขึ้นมา “นักโทษมันดูโหดไปไหม แค่คนป่วยก็พอมั้ง ทางเราพร้อมจัดฉากเรื่องอาการป่วย เป็น…เอ่อ เอดส์”ผมมองไปทางสแลงค์หน้าแบบไม่รู้จะทำอะไรต่อดี “แค่พูดว่าเป็นเอดส์ไม่ก็โรคติดต่อร้ายแรง ก็ไม่มีใครเอาเป็นเพื่อนอยู่แล้ว”
“อืม…”สแลงค์สีหน้าเงียบลงเห็นได้ชัด “ผมจะเสนอเรื่องให้ในที่ประชุมรอบหน้า ผมจะกลับไปประชุมอีกรอบ ผมจะคุยกับทาง O5 ที่เหลือคนอื่นๆ ดูให้”เขามองนาฬิกา “เราก็ออกมาจะสิบนาทีแล้ว กลับเข้าไปกันเถอะ”
“แล้วถ้ายื่นเรื่องไม่ผ่านล่ะ สลาฟตายแน่ๆ ดูรู้ ทำตัวเองทั้งนั้น”ผมถามเขา
“ฟังนะวอร์เรนต์”เขามองมาทางผม “สลาฟคนนึง ชั้นก็มองมันเป็นน้องคนนึงเลยนะ ชั้นเข้าใจมันหนักใจกับสิ่งที่จะพูด มันอาจทำให้ชั้นโดนสวด หรือโดนด่ากลับมา แต่มันคือทางเดียว ทางออกร่วมกันทางเดียวที่เราจะไปได้”สแลงค์เดินตามเข้าห้องประชุมไปอีกรอบ ก่อนหันมาพูดทางผม
“ยามอับจนหนทาง แม้ไม่มีประตูออกยังปีนกำแพง”
ผมลืมตาขึ้นมองไปที่ไฟลเอกสารอันนั้นที่ถูกเปิดค้างไว้ ภายในมีไฟล์จดหมายฉบับเล็กๆ ให้เลือกแค่เพียงตัวเดียว ผมตัดสินใจกดเข้าไปดูไฟล์จดหมายดังกล่าว พบว่ามีเพียงภาพถ่ายของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง ผมมองที่ภาพถ่ายนั่น พลางนึกเรื่องที่ผ่านไปไม่นานมานี้ ไม่รู้สิ ผมอาจจำเรื่องในอดีตไม่เก่งนัก แต่มีไม่กี่ครั้งที่ผมจะจำเรื่องแบบนี้ได้ ผมมองเงียบๆ เหมือนรูปพวกนั้นกำลังดึงผมเข้าสู่ภวังค์แห่งความคิดช้าๆ
———
29 มีนาคม 2019 15.30 น. ที่ไหนซักแห่งของเอเชีย
“พร้อมแล้วใช่ไหม”ผมถามเพื่อนเก่าคนเดิมที่คุ้นเคยมานาน สลาวานอฟ แต่ทว่าผมทราบดีว่าเขาไม่ได้ชื่อดังกล่าวอีกแล้ว แต่เรียกชื่อเดิมถนัดกว่า
“ไม่พร้อมก็ต้องพร้อม”สลาฟมองมาทางผมยิ้มเงียบๆ เขาใส่เสื้อแจ็คเก็ตหนังสีฝาด สะพายกระเป๋าเป้และลังเอกสารจำนวนหนึ่งขณะมองไปรอบๆ“นายพูดถูกนะที่คำว่าไม่สายเกินไปที่จะเริ่มต้น เมื่อก่อนชั้นคิดผิดมาตลอด ตอนนี้ ชั้นเข้าใจทุกอย่าง”เขาพูดกับผม “รู้อะไรไหม ชั้นมืดหม่น มืดหม่นมาตลอดกับสิ่งที่ทำลงไปเพราะความสะใจและต้องการจะเอาคืนพวกนาย สุดท้ายผลกระทบมันร้ายแรงกว่าที่คิดมาก วันนึง เวลาผ่านไป จิตใจที่มันเคยเต็มเปี่ยมไปด้วยไฟแค้นและการลงโทษมันค่อยๆ จางหายไป หายไปเหลือเพียงรอยแผลเป็นในอดีตที่ตามหลอกหลอนชั้นมาตลอด”
“อืม อะไรๆ ก็ดูเปลี่ยนไปเยอะหลังจากผ่านเรื่องนั้นมา นายดูโตขึ้น เป็นคนมีเหตุผลขึ้น มันก็ดีเหมือนกัน”ผมยิ้มให้เขา เขายิ้มกลับเผยให้เห็นรอยตีนกาบ่งบอกถึงร่องรอยอายุที่เริ่มแก่ลงไปตามกาลเวลา รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุข ไม่ใช่ความเสแสร้ง “นายไม่ต้องห่วงเรื่องฐานข้อมูลนายและกลุ่มของนาย ทางด็อคเตอร์รัน สแลงค์ และชั้นช่วยยื่นคำร้องไปทางบอร์ดบริหารแก้ไขข้อมูลของนายให้ กว่าจะยื่นเรื่องได้เกือบไม่ผ่านเหมือนกัน ยังดีที่นายพกดวงมากับตัว O5 ลงมติ 6 ต่อ 5 อนุมัติให้นายรอดออกไป แต่แค่มีข้อแม้ว่าห้ามกลับมาทำงานที่นี่อีก”
“รับรู้และรับทราบ”เขาตอบติดตลก “ทำขนาดนี้กลับไปได้ก็โคตรบ้าว่ะเอาจริง”
“ถามอีกนิดก่อนจะไป”ผมถามเขาขึ้นมา “อยู่โน่นจะไปทำอะไร?”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องว่าชั้นจะหางานได้ไหมหรอกวอลลี่”เขาตอบชิงผมไป “ชั้นอยู่โน่นจะเป็นที่ปรึกษาโครงการวิจัยเหมือนกับที่ทำที่นี่ แต่ต่างจากที่นี่คือ ชั้นจะทำอะไรได้อิสระกว่าที่ๆ ชั้นอยู่มาแทบจะตลอดสี่สิบปี” เขาตอบผม “มันจะมีอิสระมากขึ้น แต่งาน และความเสี่ยงก็ท้าทายเพิ่มขึ้นไป ถ้าก้าวผิดนิดเดียวก็คือตาย ก็แค่นั้น จะจริงจังอะไรกับชีวิตวะถามจริง เกิดก็มีตาย แต่แค่ว่าจะตายดีหรือตายโหงแค่นั้นเอง”
เขาพูดถูกทีเดียว ผมมองเขาผ่านสายตา เขากำลังดูเหมือนอยากจะร้องไห้ออกมา แต่ทำเป็นมองไปทางอื่นเพราะไม่อยากให้ผมเห็น
“เออเข้าใจๆ”ผมตบไหล่เขา “ไปอยู่โน่นก็อย่าซัดกับใครเขาไปทั่วละกัน”
ไม่ช้านักเขากอดผม ร้อยวันพันปีเขาไม่เคยกอดผมเลยนอกจากตุ๊กตาของเขากับเจ้าเหมียวที่เขาเลี้ยงไว้ ผมรู้ดีว่านี่คือการกอดลากันครั้งสุดท้าย นึกแล้วใจหาย จะไม่ได้เจอกันแล้วหรอเนี่ย
“โชคดีวอร์เรนต์”เขาผละจากตัวผม หลังเขามีกลุ่มคนอีกสองคนยืนรออยู่ เป็นผู้หญิงกับผู้ชายที่เคยเข้าประชุมกันครั้งก่อน ไม่ช้านักเขาเดินไปยังชายหญิงสองคนนั้น พลางยกกระเป๋าและกล่องลังเอกสารไปด้วย “เอ้อวอร์เรนต์ รบกวนหลับตาก่อน” เขาบอกมาที่ผมที่ห่างออกไปประมาณสี่ห้าเมตร
“โอเคๆ”ผมตัดสินใจหลับตาลง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นในขณะที่ผมหลับตา มีเพียงลมที่แรงมากและเสียงหึ่งเบาๆ จากอะไรบางอย่าง จนกระทั่งเสียงเงียบไป “ให้ชั้นลืมตาได้รึยัง….”ผมถามขึ้นหลังจากที่ผมหลับตาไปเกือบสิบวินาที เพียงผมลืมตาขึ้น สิ่งที่เหลือทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่าพร้อมกับพระอาทิตย์ตกดินอันสวยงาม
ผมยิ้มเงียบๆ พิงตัวที่ข้างประตูรถ หยิบไฟแช็คกับบุหรี่ ก่อนจุดขึ้นมาสูบ เงยหน้ามองท้องฟ้า มองดวงตะวันที่กำลังลับขอบฟ้าไปเงียบๆ คนเดียว
“โชคดี…วิคเตอร์”
พักหนึ่งที่ผมเหม่อลอยไปครู่ใหญ่ ผมลืมที่จะเปิดรูป เลยเปิดรูปดูขึ้น เป็นรูปของกลุ่มคนที่ผมไม่รู้จักเลย ผมเห็นชายคนหนึ่งผมสีทอง ดวงตาสองสี ใส่เสื้อคอเต่าสีแดงดูสะดุดตาเพราะอยู่มุมรูปด้านขวาสุด ผมรู้สึกคุ้นหน้าเขามากๆ ผมนั่งเงียบๆ มองออกไปนอกหน้าต่าง พยายามนึกถึงว่าเขาคือใคร ชื่ออะไร มาจากไหน รูปนี้คือใครกัน? กลุ่มคนพวกนี้คือใคร? แล้วใครส่งมา?
.
.
.
.
.
แต่ผมก็นึกไม่ออก….