เวลาบ่ายประจำแผนกผู้ป่วยภาวะวิกฤตก็คงจะไม่มีอะไรพิเศษมากเท่าห้องของผู้ป่วยโคม่า อดีตนักวิจัย แมรี่ เบอร์มองต์
เสียงหายใจหนักๆ ของคนที่เพิ่งถูกดึงกลับมาจากความตายผสมกับจังหวะทุ้มของเครื่องวัดชีพจรที่ปลุกให้กลับมาสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง
มันดังและตกกระทบในห้องพักฟื้น นักวิจัยแมรี่ลืมตาขึ้นมาในสภาพเปื่อยปวกเปียกที่สุดในชีวิตของเธอ
แมรี่เห็นเพดานสีขาวเป็นวงกลมและแสงไฟที่สว่างจ้าจนทำให้ตาแสบไปหมด แต่ที่กวนใจมากสุดไม่ใช่แสง มันคือความว่างเปล่าในหัว ที่เหมือนมีอะไรขาดหายไปเป็นแถบกว้าง
เธอพยายามขยับ แต่ร่างกายไม่ยอม ทุกอย่างแทบจะไม่ใช่ของเธอ ลิ้นพัน คอแห้ง จนเสียงหอบกลายเป็นจังหวะเดียวในหัวที่เธอรู้สึกในตอนนี้
“หมอคะ! เธอตื่นแล้วค่ะ! ตื่นแล้วจริงๆ!” พยาบาลวัยยี่สิบกว่าร้องก่อนจะพุ่งเข้ามาพร้อมกับคนอื่นๆ ทีมแพทย์โถมเข้ามาเป็นฝูงจิ้งหรีดเจอไฟ เสียงหยดน้ำเกลือและคำถามทำให้ แมรี่ เริ่มรู้ว่าปวดหัวอีกครั้ง มือเย็นๆหนึ่งข้างจับมาที่ข้อมือเธอ เป็นหลักฐานว่าเธอยังอยู่กับความจริง ไม่ใช่ฝันอีกต่อไป
แต่ในหัวของแมรี่กลับเต็มไปด้วยภาพที่ไม่สมเหตุสมผล เศษความทรงจำแตกละเอียดคล้ายกระจกแตกเป็นพันชิ้น และทุกชิ้นสะท้อนภาพของชื่อเดียวกัน
"ไม่..” แมรี่พึมพำ เธอพยายามยกมือขึ้นมาเพื่อปิดตา แต่ร่างกายกลับไม่ตอบสนองอะไรเลยสักอย่าง อย่างกับว่าทุกส่วนมันหนักไปหมด “แคทรีน่า…ไม่จริง…”
แคทรีน่า คือชื่อที่ปรากฏขึ้นในความคิดแรงจากความว่างเปล่าในหัวของเธอ เป็นชื่อที่เธอรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยอย่างน่าประหลาด ก่อนที่ภาพจะเปลี่ยนเป็นความตื่นตระหนก ภาพของเธอในชุดกาวน์ที่เปื้อนดินและน้ำเลี้ยงต้นไม้ เธอถือท่อเหล็กที่ใช้เป็นอาวุธอย่างทุลักทุเล เหมือนกำลังพยายามจะปกป้องใครบางคนจากรากไม้ที่เลื้อยเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ปกป้องใคร? คำถามนี้ทำให้เธอหายใจติดขัดและมันเริ่มดังซ้ำในหัวไปมาและสะท้อนใส่กระจกจนมันเริ่มหนักกว่าเดิม
“คุณเบอร์มองต์! หายใจเข้าช้าๆครับ! อย่าเกรง!” เสียงของแพทย์ชายคนหนึ่งแทรกเข้ามา “ตอนนี้คุณปลอดภัยแล้ว! คุณอยู่ที่ศูนย์ยี่สิบ นี่คือแผนกพยาบาลพิเศษ… คุณจำชื่อตัวเองได้ไหมครับ?”
“มะ..เม..แมรี่…” เธอตอบได้เพียงเท่านั้น คำพูดเธอแทบไม่ออกมา ราวกับพูดผ่านกองทราย ดวงตาเบิกกว้างอย่างเด็กที่ตื่นขึ้นมาในที่ไม่รู้จัก
สู้เพื่อแกมม่า…
ความทรงจำสุดท้ายที่ชัดเจนคือคำนั้น ก่อนที่ภาพจะแตกสลายกลายเป็นสวนดอกไม้ใต้แสงอาทิตย์ที่งดงาม เสียงหัวเราะอันแผ่วเบา และใบหน้าของ แคทรีน่า ที่กำลังยื่นมือให้เธออย่างอ่อนโยน ใบหน้าหญิงสาวที่สวยงามที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็นมา มันทำให้เธอรู้สึกน้อยใจอย่างแปลกประหลาด
แพทย์หยุดเล็กน้อย มองไปที่แฟ้มที่อยู่ในมือ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เน้นย้ำทุกพยางค์
"คุณรอดมาได้เพราะจากการผ่าตัดนานสิบหกชั่วโมงครับคุณเบอร์มองต์ นั่นคือการผ่าตัดที่ซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ของศูนย์นี้ เราต้องนำเชื้อเห็ดราที่ลุกลามเข้าไปในเนื้อเยื่อปอดของคุณออก…" เขาลังเลเล็กน้อยแต่ก็เลือกที่จะพูด
"คุณสูญเสียอวัยวะที่สำคัญไปหนึ่งชิ้น แต่นั่นคือการรักษาเดียวที่จะหยุดยั้งการแพร่กระจายของเชื้อได้"
น้ำตาเริ่มไหลช้าๆ โดยที่เธอไม่รู้ตัว แมรี่หายใจหอบถี่จนพยายามเอามือคว้าคอเสื้อของแพทย์
“มันเป็นฝันใช่ไหมคะ? บอกฉันสิ! บอกฉันว่ามันเป็นแค่ฝันน่ะ!”
ทีมแพทย์ฉีดยาให้เธออีกครั้งอย่างรวดเร็วเพื่อระงับอาการแพนิกที่รุนแรง แมรี่สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ไหลเข้าสู่เส้นเลือด ก่อนที่เปลือกตาจะหนักจนปิดลงไปอีกครั้ง เสียงของแพทย์ดังอู้อี้เหมือนมาจากใต้น้ำ แต่คำสุดท้ายที่เธอได้ยินก็ตอกย้ำความจริงที่เธอหนีไม่ได้
“หลับไปก่อนเถอะครับ คุณเบอร์มองต์ คุณเพิ่งพลาดการใช้ชีวิตไปสองปีเต็มๆ”
“ชื่อ?”
“แมรี่ เบอร์มองต์”
“สัญชาติ?”
“แคนาดา”
“ผลคูณของ สามสิบเจ็ด กับ ห้าสิบเก้าคือ?”
“สองพันหนึ่งร้อยแปดสิบสาม” เธอตอบทันทีด้วยความแม่นยำทางคณิตศาสตร์ที่ไม่มีใครเทียบได้อย่างรวดเร็ว
“ดีมากครับ” แพทย์จดบันทึก
“ทีนี้เราจะกลับไปคุยที่เรื่องเดิมกันนะครับ เกี่ยวกับความฝันของคุณ… คุณจำได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงสองปีก่อนหน้าการตื่นของคุณ?”
แมรี่รวบรวมลมหายใจเข้าปอดที่ติดขัด ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ระบบทางเดินหายใจ แต่เป็นเพราะว่าเธอเหลือปอดเพียงแค่ข้างเดียวแล้วในตอนนี้ อาการหวาดระแวงและขี้กังวลทำให้เธอมองหน้าแพทย์อย่างไม่ไว้ใจ สำหรับเรื่องพวกนี้ทำให้เธอไม่แน่ใจว่าควรตอบไหม แต่สัญชาตญาณนักวิจัยของเธอสั่งให้ตอบตามความจริง
“ไม่มีอะไรเลยค่ะ มีแค่…ภาพที่ถูกสร้างขึ้นมาในหัว” เธอเริ่มเล่าเรื่องราวอย่างมีเหตุผล
"ฉันจำได้ว่าฉันกำลังสู้กับเธอ เพื่อช่วยแกมม่า แต่หลังจากนั้นทุกอย่างก็เปลี่ยนไป…มันรู้สึกเหมือนจริงมากค่ะ” แมรี่กล่าวเสียงแผ่ว
"แต่กลับกัน มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขอย่างแท้จริง แต่ฉันรู้แล้วว่ามันไม่แม้จะจริงสักนาทีเดียว มันคือสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาเพื่ออะไรสักอย่าง…ที่แม้แต่ฉันก็ไม่เข้าใจ”
“คุณเบอร์มองต์ครับ” แพทย์กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายลงมาก
“คุณมีความเสถียรทางสติปัญญาสูงมากก็จริง แต่ความทรงจำเหล่านี้เป็นผลกระทบทางจิตวิทยาที่หลงเหลืออยู่ มันเป็นกลไกป้องกันตัวของสปอร์เพื่อสร้างภาพจำปลอมเพื่อยับยั้งการตอบสนองของสมองส่วนลิมบิกแก่เหยื่อ แต่สำหรับคุณแล้ว ผลกระทบไม่ได้รุนแรงคล้ายมนุษย์เพศชายครับ”
เขาหยุด เหมือนกำลังเลือกคำพูดในหัว
“คุณเป็นหนึ่งในสองคนที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น คุณกับอดีตนักวิจัยแกมม่า”
“อดีต…อดีตนักวิจัยแกมม่า?” แมรี่พึมพำชื่อนี้อีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เริ่มสั่นเครือ
“เขาอยู่ในห้องรักษาตัวพิเศษนานแล้วล่ะครับและในไม่กี่เดือนเจ้าหน้าที่จะต้องย้ายตัวเขาออกจากที่นั่นแล้ว แต่คุณนั้นโชคดีกว่ามาก” แพทย์หยุดชั่วครู่เพื่อให้แมรี่ประมวลผล
“อาการกลัวเลือดและความอ่อนไหวทางจิตใจของคุณทำให้คุณถูกจัดเป็นเคสพิเศษก็จริง แต่สถาบันได้ยืนยันว่าคุณยังคงเป็นบุคลากรที่มีค่าอย่างยิ่ง”
คำว่า 'มีค่า'ฟังแล้วรู้สึกจะเป็นคำปลอบใจในห้องสอบสวน มากกว่าความหวังใดๆที่ตอนอยากได้ยินในตอนนี้
“ส่วนใหญ่ผลกระทบของวัตถุจะทำให้มนุษย์เพศหญิงเสียชีวิตก่อนที่เราจะได้ทำการช่วยเหลือ แต่กลับมีเพียงคุณเท่านั้นที่ยังคงรอดชีวิต คุณจะต้องเข้ารับการบำบัดทางกายภาพและจิตใจต่อไปและ…" เขาหยุดก่อนจะอ่านข้อมูลในกระดาษ
"จะมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนเข้ามาสอบถามถึงรายละเอียดของเหตุการณ์ ซึ่งจะถือเป็นรายงานเสริมในการปิดคดี นี่เป็นขั้นตอนปกติ ขอให้คุณทำใจให้สบาย…และระหว่างนี้ สถาบัน อยากให้คุณใช้เวลาพิจารณาถึงอนาคต คุณพร้อมไหมที่จะรับงานของสถาบันต่อ?”
แมรี่หลบตามองมือตัวเองที่วางอยู่บนตัก ตัวสั่นเล็กน้อย เหมือนไม่รู้จักร่างกายตัวเองอีกต่อไป
"ฉัน..ขอเวลาได้ไหมคะ?"
แพทย์ถอนหายใจก่อนจะพยักหน้าเข้าใจสิ่งที่เธอจะสื่อ
เมื่อการสอบถามเบื้องต้นสิ้นสุดลง แพทย์ก็ยืนขึ้นและเก็บแฟ้มลงในกระเป๋า
“เราจะจัดตารางการบำบัดให้คุณใหม่ทั้งหมดครับคุณเบอร์มองต์” แพทย์กล่าวด้วยน้ำเสียงเป็นทางการ
“การบำบัดทางกายภาพจะเริ่มต้นในช่วงบ่าย พรุ่งนี้คุณจะต้องเข้ารับการประเมินทางจิตวิทยาโดยละเอียดอีกครั้งและนี่คือชุดเสื้อผ้าใหม่ของคุณและกุญแจห้องเก็บของส่วนตัวของคุณในแผนกดูแลทรัพยากรของเซกเตอร์ที่หนึ่ง ซึ่งมันถูกเก็บรักษาไว้นานแล้วและคุณจะได้รับคืนก็ต่อเมื่อคุณได้รับอนุญาตให้กลับไปทำงานได้เท่านั้น”
แมรี่พยักหน้าอย่างว่างเปล่า เธอยังคงพยายามเชื่อมต่อความรู้สึกและความจริงเข้าด้วยกัน
ประตูห้องพักฟื้นถูกเปิดออกอีกครั้ง และมีร่างสูงผอมที่สวม เสื้อเชิ้ตลายดอกไม้ไทย สุดแสบสันต์อยู่ใต้เสื้อกาวน์สีขาวปรากฏตัวขึ้น ใบหน้าของเขาถูกบดบังด้วยแว่นกันแดดสีเข้ม แม้จะอยู่ในห้องที่สว่างจ้าก็ตาม
“อ้าว! คุณหมอวิลเลี่ยม เป็นไงบ้างครับเนี่ย?” ชายคนนั้นทักทายอย่างเป็นกันเองเกินเหตุ จับมือกับแพทย์ที่พึ่งคุยกับเธอ
“ทำงานเร็วเหมือนเคยเลยนะครับ ผมเกือบจะมาไม่ทันแล้วนะเนี่ย”
แพทย์ถอนหายใจอีกครั้งแต่ก็พยักหน้าให้อีกฝ่าย
“ดร.ชาน”
แพทย์เรียกชื่ออย่างเป็นทางการ
“ผมอนุญาตให้คุณได้ไม่เกินสิบนาทีครับ”
“แหม! แค่นี้ก็เหลือเฟือแล้วครับคุณหมอ ผมขายประกันหรือมอบความหวังเนี่ย ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีหรอกครับ!” ดร.ชานกล่าวอย่างอารมณ์ดี แต่แพทย์ก็เดินออกไปข้างนอกแล้ว
เขาก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกล่องช็อกโกแลตสี่เหลี่ยมสีทองที่แนบข้างตัวไว้เดินตรงมาหาเธอ
แมรี่มองเขาด้วยความสับสนชาน? เธอเหมือนจะจำได้ว่าพวกเขาเคยรู้จักกัน เพราะเคยเจอกันบ่อยหรือไม่นั้นก็แค่ภาพฝันในอดีตที่เธอรู้จักเขาในฐานะคนที่ไม่เอาไหน
“สวัสดีครับ คุณแมรี่" ดร.ชานทักทายอย่างร่าเริง เขาวางกล่องช็อกโกแลตลงบนโต๊ะข้างเตียง
“ดีใจด้วยจริงๆ ในที่สุดคุณก็ตื่นแล้วนะ ผมแทบจะยกแก้วฉลองแน่ะ! รับช็อกโกแลตหน่อยไหม?”
“คุณ…คุณมาทำอะไรที่นี่ ชาน?” แมรี่ถามเสียงแหบแห้ง
“มาเยี่ยมสิครับ! เราเป็นเพื่อนร่วมงานกันนี่นา! เอ้ยไม่สิ ผมต้องใช้คำว่าเคยเป็นสิครับ” ดร.ชานดึงเก้าอี้มานั่งข้างเตียง
“แหมก็นะ ตอนนี้ผมได้ตำแหน่งใหม่แล้วน่ะ เป็นผู้อำนวยการแผนกสร้างและปกปิดข้อมูล ไม่น่าเชื่อใช่ไหมล่ะ? จากนักวิจัยระดับสามโง่ๆ ที่เคยแวะมาหาคุณในห้องทำงานเพื่อขอคำแนะนำ แต่ตอนนี้ต้องเป็นนายคนคอยคุมเบื้องหลังองค์กร ก็ขอให้มันเป็นบทเรียนนะครับคุณแมรี่ จงฉวยโอกาสในวิกฤต”
แมรี่ไม่ตอบ เธอเพียงมองเขาด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ซึ่งกระตุ้นให้ชานลดรอยยิ้มลงเล็กน้อย
“คุณแมรี่… ผมจะพูดตรงๆ นะ” ดร.ชานปรับท่าทาง
"ก่อนที่เราจะโทษกันเอง ผมอยากให้คุณเข้าใจมูลค่าของตัวเองก่อนนะครับคุณแมรี่" ดร.ชานเอนตัวเข้ามาใกล้เล็กน้อย แว่นกันแดดสะท้อนแสงไฟในห้อง
“รู้ไหมว่าทำไมคุณถึงรอดจากการผ่าตัดที่มีโอกาสตายเกินเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ มันไม่ใช่เพราะโชคหรอกนะ" เขายื่นหน้ามาใกล้เธอมากขึ้น จนแมรี่สังเกตเห็นหน้าเธอเองผ่านแว่นของดร.ชาน
" แต่เป็นเพราะการตัดสินใจให้ดำเนินการต่อมาจากผู้อำนวยการศูนย์ พวกเขาเรียกสิ่งนี้ว่าคือการลงทุนด้านบุคลากรที่มีมูลค่า"
"คุณไม่ได้รอดมาได้เพราะโชคช่วย คุณรอดเพราะสถาบันตีค่าความสามารถของคุณสูงเกินกว่าจะปล่อยให้ทิ้งตายไปเฉยๆ”
เขาหันไปมองกระจกข้างผนังก่อนจะหันกลับมาที่เธออีกครั้ง
“ผมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้น ผมไม่รู้รายละเอียดลึกๆ หรอกนะว่าเกิดอะไรกับคุณบ้าง แต่ผมเป็นนักวิเคราะห์ ผมอ่านรายงานและผมรู้ว่าคุณพลาดตรงไหน คุณกับอดีตนักวิจัยแกมม่าน่ะผิดพลาดกันตรงไหนรู้ไหม?”
เขาเอนตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย เสียงกระซิบของเขาเต็มไปด้วยความเสียดสี
“พวกคุณพลาดเพราะคุณเลือกเป้าหมายผิดทาง คุณคาดหวังในสิ่งผิดๆตั้งแต่คุณมาเหยียบที่สถาบันแห่งนี้ พวกคุณทั้งคู่มีทางเลือกแค่สองทางเหมือนสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั่วไป คือ ก้าวไปข้างหน้า คว้าโอกาส ปกป้องตัวเอง ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ หรือ ก้าวถอยหลัง คุณยอมแพ้ หนีปัญหา ถูกทอดทิ้ง ไม่แก้ไขอะไรเลย แต่คุณแมรี่” เขาใช้ปลายนิ้วเคาะที่ขอบเตียง
“ดูท่าแล้ว คุณจะเลือกข้อที่สามนะครับ คุณแค่อยู่กับที่ คุณเลือกที่จะติดอยู่ในฝันที่มีความสุข ที่ถูกปรุงแต่งจากสปอร์เห็ดรา ในขณะที่เหตุการณ์นั้น พรากความฝันและชีวิตหลายคน ไปจากโลกจริง มีแค่คุณกับเขาที่รอดมาได้…”
ความว่างเปล่าในดวงตาของแมรี่เปลี่ยนเป็นความผิดหวังอย่างรุนแรง เธอเริ่มร้องไห้ออกมา
“แต่ฉันไม่รู้ ฉันจำอะไรไม่ได้เลย…” แมรี่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่อัดอั้นในใจที่ค้างคามาตลอดปี
“มันเหมือนว่า เวลาของฉันถูกขโมยไป สองปีของฉันหายไป และสิ่งที่เหลืออยู่คือแค่ภาพลวงตาของความสุข ฉันพยายามจะสู้แล้วฉันจำได้ว่าฉันพยายามจะสู้”
“ผมทราบครับ” ดร.ชานตอบอย่างนุ่มนวลอย่างผิดปกติ
"ผมเข้าใจความรู้สึกนั้นดีครับ ความผิดหวังในตัวเองเป็นยาขมที่แรงที่สุด แต่ตอนนี้มันไม่สำคัญแล้วล่ะครับ”
เขาหยิบช็อกโกแลตมาแล้วหักแบ่งหนึ่งชิ้น ก่อนจะวางลงบนฝ่ามือของแมรี่
“คุณไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองหรอกครับ ที่นี่คือสถาบัน สถานที่แห่งนี้ใช้ไม่ได้ผลหรอกกับความเห็นใจน่ะ มันถูกใช้เป็นแค่เหรียญแลกเปลี่ยนเท่านั้น ผมมาทำหน้าที่ ไม่ได้มาเห็นใจใคร” เขากินช็อกโกแลตที่แบ่งมาก่อนจะพูดต่อ
“หน้าที่ของผมคือการเตรียมคุณให้พร้อม พร้อมสำหรับการสอบสวนเพื่อเป็นรายงานเสริมในการปิดคดีให้เรียบร้อย ในไม่ช้าหรือเร็วจะมีคณะสอบสวนพิเศษมาสอบปากคำคุณ คุณไม่ได้ทำอะไรผิด คุณเป็นเหยื่อ ผมก็เลยอยากให้คุณพูดความจริงทั้งหมด"
แมรี่พยักหน้าเข้าใจ แต่ก่อนที่เธอจะถามอะไร เขาก็พูดตัดเธอก่อน
"อย่าพยายามทำให้มันฟังดูดี อย่าเก็บมันไว้ข้างใน ตอบความจริงให้หมด ตอบเท่าที่คุณทำได้ บอกทุกอย่างที่สมองคุณยังจำได้ แม้กระทั่งภาพฝันของคุณ สถาบันเราไม่ต้องการวีรสตรี พวกเขาต้องการความจริงที่นำไปสู่การปกปิดได้อย่างสมบูรณ์แบบก็เท่านั้น”
เธอเงียบไปอีกครั้ง ก่อนจะพูดเบาๆ
“แกมม่าอยู่ไหนคะ”
“ตอนนี้อยู่ในเขตพยาบาลที่ดัดแปลงมาจากพื้นที่เพาะชำ ตามข่าวแล้วเขาจะถูกย้ายในเร็วๆนี้ ไปห้องที่ดีกว่า ปลอดภัยกว่า แต่ว่า..”
“แต่ว่า?”
“ในแง่ทางกายภาพน่ะ เขาดูไม่ดีนัก” เขาตอบเรียบ แต่แววตาเศร้าไปชั่วครู่
“ส่วนจิตใจ ผมไม่แน่ใจนักหรอกว่าเขาใช่คนเดียวกันที่ผมรู้จักไหม”
เขามองเธอตรง ๆ
“ผมรู้ว่าคุณอยากหายไปจากที่นี่ อยากย้าย อยากลืมทุกอย่าง แต่ฟังนะ ถ้าคุณไม่อยู่ รายงานนี้จะไม่มีวันถูกปิดอย่างถูกต้อง คุณคือพยานคนสุดท้ายที่ยังพูดได้และทุกคนจะเชื่อคุณ”
“แล้วคุณล่ะ ชาน คุณอยู่ไปเพื่ออะไร” เธอถามเสียงแผ่ว
เขาเงียบ ไม่พูดอะไร ถอดแว่นตามาเช็ดแล้ววางไว้ที่ตักของเขา ก่อนจะหันมามองที่แมรี่
“เพื่อไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก”
ประโยคสั้นๆ แต่ชัดพอจะทำให้เธอหันมามองเขาตรงๆ ครั้งแรก ดวงตาสองคู่มองกันอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะหยิบแว่นขึ้นมาสวม
"เรามาพูดเรื่องที่น่าตื่นเต้นหน่อยดีกว่า หลังจบการสืบสวน คุณก็มีสามทางเลือกใหม่ให้เลือกครับคุณแมรี่ คุณจะลาออกไหม? คุณจะถูกลบความทรงจำพร้อมไปใช้ชีวิตข้างนอกและเงินเล็กๆ น้อยๆ ที่สถาบันมอบให้ หรือ ทำงานต่อโดยใช้ความสามารถอันล้ำค่าของคุณเพื่อสถาบัน ไม่ก็ ย้ายแผนก ไปทำอะไรที่เล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ยังมีค่าพอที่เหล่า O5 ต้องก้มลงมามองคุณ"
แล้วเขายิ้มบาง
“คุณคิดว่าคุณจะเลือกทางไหนดีล่ะครับ? ผมพร้อมรับฟังทางเลือกของคุณเสมอ ก่อนที่เจ้านายใหญ่จะมาบังคับให้คุณเลือกแทน คิดให้ดีนะครับคุณแมรี่ แล้วผมจะทำเอกสารไว้ให้คุณ” เขาทำหน้าตาย ก่อนจะผ่อนคลายเป็นรอยยิ้มน้อย
“ทั้งสองอย่างเป็นทางเลือกที่ใช้งานได้ แต่ก่อนจะพูดถึงคุณต้องบอกความจริงให้ชัดก่อน แล้วค่อยว่ากันต่อ” เขาลุกขึ้นยืน เดินไปที่ประตูก่อนหันกลับมาอีกครั้ง
“จำไว้นะ สองอย่างนี้จะขโมยความทรงจำของคุณ ถ้าคุณให้พวกเขาเข้ามา ความกลัวกับความยินดีผิดที่ผิดเวลา อย่าให้อันไหนมากำกับคำพูดของคุณ แค่พูดสิ่งที่เห็น ไม่ใช่สิ่งที่อยากให้คนอื่นเชื่อ”
แล้วเขาก็จากไป เหลือเพียงช็อกโกแลตและรอยยิ้มที่อาจจะจริงหรือแค่ท่าทางประกอบ
แมรี่นั่งมองช็อกโกแลตในมือที่หักแบบเละเทะ เธอกรอกมันเข้าปากอย่างไม่คิดอะไร ก่อนรสหวานจู่โจมลิ้นอย่างไม่คาดคิด เธอรู้สึกเหมือนมีน้ำหนักตกทับใส่อก ไม่ใช่ความหนักของความจริงทั้งหมด แต่เป็นความหนักจากการต้องตัดสินใจในไม่กี่วันข้างหน้า
ก่อนไฟจะหรี่ลง เธอมองที่มือของตัวเอง ดูนิ้วที่เคยจับปากกาเคมี จับกรรไกร แล้วหันไปมองไปยังหน้าต่างที่เห็นแผ่นคอนกรีตและในเงามืดของแผ่นคอนกรีต เธอเผลอคิดว่ามีใครมองกลับมา แต่แสงและเงาทำให้มันดูเหมือนภาพลวงตาอีกใบ เธอกลืนน้ำลายแล้วปล่อยให้ความมืดเข้ามาโอบกอดเธอ
ห้องสอบสวนของศูนย์-20 เย็นเฉียบอย่างที่ควรจะเป็น ไม่มีสิ่งใดข่มขู่ผู้ต้องสงสัยได้ดีไปกว่าความเงียบและเสียงนาฬิกาแขวนที่เดินอย่างสม่ำเสมอเกินไป โต๊ะโลหะสะท้อนแสงสีขาวจากหลอดไฟเหนือศีรษะจนเกือบแสบตา พื้นคอนกรีตถูกขัดจนเห็นรอยขีดข่วนจากขาเก้าอี้ที่ลากไปลากมาในแต่ละรอบการสอบสวนก่อนหน้า กล้องขนาดเล็กในมุมห้องกะพริบไฟแดงเบาๆ เตือนว่าทุกคำพูดของเธอจะไม่มีวันถูกลืม
แมรี่นั่งอยู่ตรงกลางเหมือนจุดศูนย์กลางของการทดลองครั้งใหม่ คราวนี้เธอไม่ใช่นักวิจัยที่เป็นฝ่ายสอบสวน แต่เป็นฝ่ายที่ถูกสอบสวนแทน
เสื้อผ้าฝ้ายสีเทาของสถาบัน ทำให้เธอดูเปราะบางคล้ายกระดาษบางๆ ที่พร้อมจะฉีกขาดทุกเมื่อ เส้นผมสีแดงซีดปรกหน้าผาก บางส่วนยังคงยุ่งเหยิงจากการบำบัด เธอดูผอมกว่าในภาพถ่ายประจำตัวมากจนเกือบจำไม่ได้ แต่ในดวงตาคู่นั้น ยังมีแววตาของนักวิเคราะห์ที่ไม่ยอมให้ความกลัวกลืนกินจิตใจ
เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงระดับสูงสองคนประจำโต๊ะฝั่งตรงข้าม หนึ่งในนั้นชายวัยกลางคนในสูทสีดำ ผิวหน้าดูเรียบเกินจริงเหมือนผ่านการผ่าตัดมากเกินจำเป็น เขาเป็นผู้ควบคุมการสอบสวน เสียงพูดของเขาคมอย่างกับมีดผ่าตัดที่ตัดผ่านความเงียบโดยไม่ต้องออกแรงมาก
“คุณเบอร์มองต์ เราเข้าใจว่าคุณยังไม่ได้พักฟื้นอย่างเต็มที่มากนัก แต่เพื่อปิดรายงานเสริมของเหตุการณ์รั่วไหลเมื่อสองปีที่ผ่านมา เราจำเป็นต้องอาศัยความสามารถในการจำของคุณ”
เสียงจังหวะปากกาของเขากระทบกับโต๊ะเหล็กสามครั้งอย่างสม่ำเสมอ
“คำถามครับ โปรดเล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับวัตถุและอดีตหัวหน้าโครงการอย่างนักวิจัยแกมม่า ตั้งแต่เริ่มโครงการจนถึงช่วงที่คุณถูกยับยั้ง"
คำว่า 'ยับยั้ง' ดังสะท้อนอยู่ในห้องเหมือนคำสาป เธอไม่แน่ใจว่าพวกเขาหมายถึงโคม่าที่เธอตกอยู่ในนั้นหรือการหยุดทำงานของจิตใจ ที่เกิดก่อนหน้านั้นเสียอีก
แมรี่เงยหน้าขึ้น ดวงตาสั่นไหวเล็กน้อย เธอพยายามจะตอบอย่างที่ดร.ชานเคยบอกไว้ พูดทุกอย่างที่จำได้ แม้แต่ภาพฝันก็อย่าเก็บไว้ แต่พอเธอเริ่มนึกถึงสิ่งนั้นภาพในหัวกลับปะทะกันอย่างรุนแรง คล้ายกับกระจกสองบานสะท้อนกันเองจนแตกละเอียด
ความทรงจำจริง และภาพลวงที่ปลูกฝังไว้ มันซ้อนกันอยู่ในหัวเธอ อย่างกับฟิล์มเก่าที่ถูกฉายทับซ้ำ เสียงของแกมม่า เสียงหัวเราะของตัวเอง กลิ่นดินในโรงเพาะชำทั้งหมดกลับมาพร้อมกันจนเธอหายใจไม่ออก
นิ้วมือของเธอกำแน่นอยู่บนโต๊ะโลหะ เย็นเฉียบจนปวดข้อนิ้ว
“คุณเบอร์มองต์ครับ?” เสียงผู้ควบคุมการสอบสวนดังขึ้นอีกครั้ง แต่เธอแทบไม่ได้ยินเพราะเธอกำลังตกกลับเข้าสู่ห้วงความทรงจำเดิม
เสียงเครื่องบันทึกยังทำงานอยู่ แต่ภาพในสายตาของแมรี่เริ่มบิดเบี้ยว เสียงเก้าอี้โลหะในห้องสอบสวนกลายเป็นเสียงลมพัดผ่านเรือนกระจก เสียงเคาะปากกากลายเป็นเสียงหยดน้ำบนใบไม้ ภาพรอยแตกบนผนังคอนกรีตเปลี่ยนเป็นรอยแยกของกระจกที่สะท้อนแสงอาทิตย์ยามบ่าย เธอหลุดกลับไป ในอดีตในโรงเพาะชำกักกัน SCP 300 TH
พื้นห้องปกคลุมด้วยดินสีดำสนิทที่ยังชื้นราวกับมีชีวิต เสียงระบบหมุนเวียนอากาศดังแผ่วบางและในศูนย์กลางของเรือนเพาะชำคือสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า 'วัตถุ'
สิ่งมีชีวิตนั้นดูเหมือนหญิงสาว แต่ผิวของเธอคือเปลือกไม้ ผมคือรากพันกันแน่น ใบหน้ามีลักษณะเป็นดอกไม้บานที่เปลี่ยนรูปร่างตามมุมมองของผู้สังเกต ทุกครั้งที่เธอขยับ กลีบดอกไม้จะปลดปล่อยละอองเป็นฝุ่นแสงสีทองที่เต้นระบำกลางอากาศ
“ดูสิ แมรี่”
เสียงของแกมม่าดังขึ้น น้ำเสียงสดใสและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานแบบที่เธอไม่ค่อยได้ยินจากเขาในห้องทดลองทั่วไป เขาชี้ไปยังวัตถุที่กำลังยื่นรากที่คล้ายมือออกมาสัมผัสดิน
“เราคิดว่าเธอแค่ดูดซับพวกแร่ธาตุเหมือนพืชทั่วๆไป แต่มันไม่ใช่เลย เธอกำลังสร้างระบบหมุนเวียนของตัวเองอยู่ใต้พื้น คล้ายกับการจำลองโครงข่ายรากไม้ขนาดใหญ่”
แมรี่บันทึกข้อมูลลงในแท็บเล็ต
“มันค่อนข้างจะฉลาด…ฉลาดเกินกว่าที่เราประเมินไว้เยอะเลยนะ มันสามารถเร่งการเน่าเปื่อยของพืชรอบๆ เพื่อสร้างปุ๋ยได้ เป็นสัญชาตญาณการเอาตัวรอดระดับสูงเลยทีเดียว”
แสงอาทิตย์ลอดผ่านกระจกบนเพดาน กลีบดอกไม้ของ SCP 300 TH สะท้อนประกายราวกับทองคำที่กำลังละลาย แมรี่รู้สึกถึงกลิ่นหอมบางๆ คล้ายกลิ่นดินเปียกหลังฝนผสมกลิ่นเลือดแผ่วๆ ที่เธอไม่รู้ว่ามาจากไหนและเธอกลับรู้สึกไม่ตื่นตระหนกอะไรกับกลิ่นเลือดพวกนั้น เธอจดจ่ออยู่กับการเขียนโดยพยายามไม่ให้จิตใจหลุดไปกับมัน แต่กลับรู้ดีขึ้นอย่างแปลกประหลาดหลังมาทำงานในสถานที่แห่งนี้มาอย่างยาวนาน จนเธอเริ่มคิดว่านี้คือสิ่งที่เธออยากเฝ้าคอยมานานหรือเปล่า แต่ก็เป็นสิ่งที่เธอจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเองอีกเลย
วันเวลาผ่านไปอย่างเงียบๆ
SCP 300 TH ไม่เคยแสดงท่าทีคุกคามต่อพวกเขา มันเพียงแค่ 'เฝ้ามอง' และ 'ตอบสนอง' ด้วยการเคลื่อนไหวที่ละมุนละไม บางครั้งกลีบดอกของมันจะเอียงตามทิศทางเสียงที่แมรี่พูด บางครั้งรากของมันจะขดคล้ายการสั่นหัวเมื่อแกมม่าหัวเราะ
มันเริ่มมีบุคลิกภาพและการอยู่ร่วมของทั้งคู่กับมันก็ค่อยๆ กลายเป็นความสัมพันธ์แปลกประหลาดระหว่างมนุษย์กับสิ่งที่ไม่ควรถูกทำให้เป็นมนุษย์
“ฉันว่าเราน่าจะให้ชื่อเล่นกับเธอหน่อยนะ” แกมม่าพูดขึ้นในคืนหนึ่ง เสียงเขาเบา ราวกับว่ากลัวใครจะได้ยิน
“การเรียกเธอว่า ‘มัน’ ฟังดูแล้วรู้สึกไม่ยุติธรรมเลย”
เขามองสิ่งนั้นที่ยืนนิ่งในเงา
“ในเมื่อเธอสวยงามราวกับราชินีและเป็นพืชเพศเมีย ฉันว่า ‘แคทรีน่า’ ก็เหมาะดีนะ แล้วเธอคิดยังไงล่ะ แมรี่?”
แมรี่เงียบไปชั่วครู่ หัวใจเต้นแรงอย่างไม่มีเหตุผล ชื่อที่เปล่งออกมาจากปากนั้น มีพลังบางอย่างในตัวเองที่เธอเองก็เห็นด้วยกับเขา มันช่างอ่อนโยนอย่างแปลกประหลาด
ตอนนั้นเองที่บางสิ่งในอากาศเปลี่ยนไป สปอร์ละเอียดเหมือนละอองเกสรเริ่มแผ่ขยายออกมาจากกลีบของสิ่งนั้น มันเปล่งประกายเป็นฝุ่นในแสงอาทิตย์ แต่เย็นเยียบเมื่อสัมผัสผิว
แมรี่รู้สึกถึงความสงบที่ไม่สมเหตุสมผล เธอไม่กลัวอีกต่อไป ไม่กังวล ไม่ตื่นตระหนก ทุกอย่างนิ่งสนิท ราวกับเธอกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศในห้องนี้ เธอเริ่มรู้สึกชอบสถานที่แห่งนี้แล้ว
แกมม่าดูผ่อนคลายขึ้นเรื่อยๆ เขาหัวเราะบ่อยขึ้น พูดคุยกับสิ่งนั้นราวกับว่ามันคือเพื่อน เขาเริ่มเขียนรายงานในน้ำเสียงที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์อีกต่อไป รายงานที่เต็มไปด้วยคำชมเชย ความเข้าใจและความศรัทธา
จากนั้น ทุกอย่างก็เปลี่ยน
แมรี่เห็นแกมม่าและเดินเข้าไปใกล้ SCP 300 TH เขาก้มลง สูดลมหายใจลึก ละอองสปอร์แผ่ซ่านเข้าไปในปอดของเขา แกมม่ายิ้มอย่างอ่อนโยนพลางโอบกอดมัน มันเป็นรอยยิ้มที่แมรี่ไม่เคยเห็นมาก่อนตลอดที่เธอทำงานกับเขา มันเหมือนรอยยิ้มของคนที่หลุดพ้นจากโลกใบนี้ไปแล้ว
“แกมม่านายกำลังทำอะไรน่ะ!”
แต่เขากลับหันมาพร้อมสายตาเต็มไปด้วยความหลงใหลอันนิ่งสงบ
“มันไม่เป็นไรหรอก แมรี่” เสียงของเขาเบาและนุ่มนวล
“แคทรีน่าก็เหมือนกับเรา แมรี่ เธอมีครอบครัวมาก่อน เธอมีเนื้อหนัง เธอมีใบหน้าที่สวยราวกับธรรมชาติ เสียงพูดของเธอมันไพเราะเหมือนเสียงของป่า… เธอไม่อยากฟังเหรอแมรี่ มันจะทำให้เธอเข้าใจความจริงของเรา..”
คำว่า 'ความจริง' ก้องสะท้อนในหัวแมรี่ เธอเริ่มเข้าใจว่า 'ความสงบ' ที่เธอรู้สึกมาตลอดนั้นไม่ใช่ของแท้เลย
มันคือของปลอม มันคือยาพิษที่ห่อหุ้มด้วยความงามของการล่อลวงให้ยอมรับสิ่งผิดธรรมชาติว่าเป็นความจริง สปอร์เหล่านั้นไม่ได้เพียงควบคุมสมองของเขาแต่มันเกลี้ยกล่อมจิตใจของเธอให้ยอมจำนนไปด้วย
เธอกำลังจะพูดบางอย่าง แต่ภาพเริ่มแตกพร่า แสงในโรงเพาะชำดับลงทีละชั้นและตามาด้วยเสียงกรีดร้องที่บ้าคลั่งที่ทวีคูณความดังขึ้นเรื่อยๆ เธอล้มลงกับพื้น สายตาที่เหนื่อยล้าเริ่มจะปิดลงในขณะที่เธอกำลังมองไปทางนั้น
ความสงบที่ไม่สมเหตุผลหลั่งเข้ามาในหัว เธอยิ้มทั้งน้ำตาโดยไม่รู้ตัว จนต้องตบหน้าตัวเองเพื่อให้หลุดจากภวังค์แต่สายเกินไป ความจริงและภาพลวงเริ่มปะปนกันเหมือนรากไม้พันกันใต้ดินและภาพก็ดับลง
“คุณเบอร์มองต์!”
เสียงเรียกของเจ้าหน้าที่ดังก้อง ทำแมรี่สะดุ้งเหมือนเพิ่งถูกกระชากกลับจากโลกอีกใบ เธอกะพริบตาเร็วๆ มือสั่นเล็กน้อยอยู่บนโต๊ะ
“คุณเหม่อไปประมาณสิบวินาที” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูด
"คุณโอเคไหมครับ?”
แมรี่พยายามตั้งสมาธิ หายใจเข้าช้าๆ ริมฝีปากของเธอสั่น แต่แววตากลับนิ่งเฉียบอย่างนักวิเคราะห์ที่กำลังจัดเรียงข้อมูลในหัวด้วยความแม่นยำแบบเย็นชา
“ฉันโอเคค่ะ” เสียงของเธอแผ่วเบาแต่ยังมั่นคง
“ฉันเพียงแค่ นึกถึงบางอย่างได้แล้วค่ะ มันเป็นสิ่งที่ดร.ชานบอกให้ฉันพูดตั้งแต่แรก”
เธอก้มหน้าเล็กน้อย สูดลมหายใจอีกครั้ง ก่อนเอ่ยประโยคที่ฟังดูเหมือนคำสารภาพและรายงานในเวลาเดียวกัน
“ตอนแรก วัตถุเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่มีคุณสมบัติทางพฤกษศาสตร์ธรรมดาทั่วๆไป เราคิดว่าเรากำลังสังเกตมัน แต่จริงๆ แล้ว มันกำลังสังเกตเราต่างหากค่ะ มันเรียนรู้การใช้ชีวิตของเรา อารมณ์เรา และใช้มันปรับพฤติกรรมเพื่อหลอกเราโดยเฉพาะ”
เธอหยุดชั่วครู่ ดวงตาคล้ายคนที่เห็นภาพซ้อนของอดีต “ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยน หลังจากที่แกมม่าให้ชื่อแก่มัน ตั้งแต่เรามองมันว่า มันไม่ใช่วัตถุ จากวันนั้น สปอร์ที่ฉันและแกมม่าคิดว่ามันคือสารแห่งความสุขเริ่มมีอิทธิพลต่อเราทีละน้อย เราเริ่มลดมาตรการป้องกันน้อยลง”
“ฉันเชื่อว่าผลกระทบที่ผิดปกติทางจิตของวัตถุ ไม่ได้จำกัดเฉพาะเพศชาย มันบิดเบือนการรับรู้ระยะยาวได้ทั้งสองเพศ มันแค่ไม่ได้สั่งเรา แต่มันโน้มน้าวเราให้รู้สึกปลอดภัย เหมือนเห็นกงจักรเป็นดอกบัวและให้เราเชื่อว่าความสุขคือหลักฐานของความจริง”
เสียงในห้องเงียบลง เหลือเพียงจังหวะการหายใจของเธอกับเสียงเครื่องบันทึกที่หมุนช้าๆ
“แกมม่า…” เธอพูดเบาๆ
“เขาไม่ได้ถูกหลอก เขายอมให้ตัวเองหลงเชื่อกับความสุขที่ไม่มีจริง ส่วนฉัน ฉันถูกล่อลวงโดยความสุขที่โหยหามานาน”
เธอกัดริมฝีปาก ก่อนจะพูดด้วยเสียงแข็งกว่าเดิม
“เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นได้ เพราะเราปล่อยให้ความรู้สึกส่วนตัวและความสุข เข้ามามีอิทธิพลต่อกระบวนการวิจัยค่ะ”
คำพูดนั้นแข็งแกร่งพอจะทำให้ห้องทั้งห้องนิ่งไป เหมือนแม้แต่เครื่องบันทึกก็ลังเลจะหมุนต่อ
เจ้าหน้าที่ทั้งสองสบตากัน ก่อนที่หัวหน้าการสอบสวนจะพยักหน้าเบาๆ เขากดปุ่มหยุดเครื่องบันทึก เสียง คลิก ดังชัดเจนในห้องที่อากาศหนาวจัดจนได้ยินเสียงหายใจของทุกคน
เขาเอนตัวเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นอย่างคนที่ทำหน้าที่นี้มานับร้อยครั้ง
“บันทึกนี้จะถูกรวมเข้ากับรายงานภายในของเหตุการณ์” เขากล่าว
“เนื้อหาบางส่วนจะถูกปกปิดแต่ไม่ใช่สำหรับเผยแพร่ในระดับผู้อำนวยการ”
เสียงปากกาขีดลงบนกระดาษเหมือนรอยมีดลากบนผิวโลหะ
“คำให้การของคุณจะถูกบันทึกเป็น สาเหตุร่วมของความล้มเหลวในการป้องกัน” เขากล่าวต่อโดยไม่สบตาแมรี่
“ผลกระทบที่เกิดขึ้นคือ การละเลยขั้นตอนความปลอดภัย การทดสอบที่ไม่ได้รับอนุมัติและการตอบสนองที่ล่าช้า ความประมาทที่เป็นเหตุทำให้ทรัพย์สินของสถาบันสูญเสียเป็นมูลค่าที่ยากจะทดแทน”
เขาเงยหน้าขึ้นมองแมรี่เป็นครั้งแรก ดวงตาของเขาว่างเปล่าและเต็มไปด้วยอำนาจการตัดสิน
“คุณแมรี่ครับ ตามจริงแล้วคุณมีสิทธิ์ที่จะถูกลดสถานะเป็นดีคลาสได้ทันทีหลังการสอบสวนนี้”
แมรี่หายใจติดขัด อาการหวาดระแวงเข้าเกาะกุมจิตใจเธออีกครั้ง ภาพความทรงจำที่บิดเบือนทั้งหมดถูกลบล้างด้วยความจริงที่เยือกเย็นนี้
“แต่” หัวหน้าการสอบสวนหยุดชั่วครู่
“คุณเป็นนักวิจัยที่ยังมีคุณค่าและประสบปัญหาเหมือนกันกับคนอื่นๆ ตามดุลพินิจของผมแล้วนั้น คุณจะถูกละเว้นครับ”
เขาหยิบเอกสารขึ้นมาอีกชุด
“อย่างไรก็ตาม การประเมินทางจิตวิทยาของคุณบ่งชี้ถึง ภาวะจิตใจที่ไม่เสถียรที่รุนแรงขึ้นหลังเหตุการณ์ คุณจะถูกระงับการเข้าถึง วัตถุระดับสองขึ้นไปชั่วคราว” เขากล่าวสรุป
“และคุณจะถูกจัดเป็น บุคลากรที่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด จนกว่าจะมีการประเมินอีกครั้งหลังการบำบัดสิ้นสุดลง”
เขากดปุ่มเปิดเครื่องบันทึกอีกครั้ง เสียง คลิก ที่สองดังขึ้นเพื่อปิดฉากละครที่เศร้าสร้อย
“จบรายงานเสริม ออกไปได้แล้วครับ คุณเบอร์มองต์”เขาพูด ก่อนจะกดปิดเครื่องบันทึก
แมรี่พยุงตัวเองลุกขึ้นยืนด้วยความสั่นสะท้าน เธอรอดมาได้ แต่การรอดชีวิตของเธอมาพร้อมกับ ตราประทับ ของความผิดพลาดที่ไม่มีวันลบเลือน การถูกตราหน้าว่าเป็น 'บุคลากรที่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด' และถูกจำกัดโอกาสในอาชีพของเธอ
เธอเดินออกจากห้องสอบสวนอย่างช้าๆ รสชาติของช็อกโกแลตที่ดร.ชานยื่นให้ดูเหมือนจะมีรสขมกว่าที่คิด
หลังจากผ่านการบำบัดทางกายภาพและจิตใจเบื้องต้น แมรี่ก็ถูกเรียกเข้าพบผู้อำนวยการศูนย์-20 เพื่อฟังคำตัดสินสุดท้าย เธอเดินเข้าห้องด้วยชุดลำลองของสถาบันที่สะอาดและเรียบร้อย เป็นชุดที่ไม่ใช่ทั้งชุดกาวน์ของนักวิจัยและไม่ใช่ชุดของนักโทษ
“นักวิจัยเบอร์มองต์” ผู้อำนวยการเจมส์เปิดแฟ้มรายงานการสอบสวน พลางมองมาที่เธอ
“ผมขอแสดงความยินดีที่คุณได้รับการละเว้นโทษร้ายแรง คำให้การของคุณมีค่าอย่างยิ่งและเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คุณยังคงสถานะบุคลากรของสถาบันได้”
แมรี่ไม่ตอบ เธอรู้ดีว่าการรอดมาได้นั้นต้องแลกมาด้วยการถูกลดสถานะอย่างเป็นทางการ
“ดร.ชานได้ยื่นข้อเสนอให้คุณพิจารณาแล้วใช่ไหม?” ผู้อำนวยการเอนตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย
“ค่ะ”
“และคุณตัดสินใจแล้วหรือยัง?”
แมรี่สบตาผู้อำนวยการ ดวงตาของเธอไม่ได้ฉายแววความหวาดกลัวหรือความรู้สึกผิด แต่มันคือความ อ่อนโยน ที่มาพร้อมกับความ เด็ดเดี่ยว ของนักวิเคราะห์ที่มองเห็นทางเลือกเดียวที่สมเหตุสมผล
“ฉันจะไม่ลาออกและฉันไม่ต้องการลบความจำค่ะ” แมรี่กล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นคง
“ฉันยังคงมีความสามารถด้านการแก้ไขปัญหา แม้ความอ่อนไหวทางจิตใจของฉันจะทำให้ฉันเป็นนักวิจัยที่บกพร่อง แต่ความสามารถของฉันจะยังคงอยู่และสถาบันยังต้องการมันตลอดไป”
เธอหยุดหายใจ ก่อนจะเอ่ยทางเลือกสุดท้ายที่เธอเตรียมไว้
“ฉันขอเลือกที่จะย้ายไปแผนกเอกสารและแปลภาษาของศูนย์ค่ะ ฉันจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ในสถาบันทำงานวิเคราะห์เบื้องหลังที่ต้องการความแม่นยำสูง ฉันจะเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่น รัสเซียและจีนกลาง เพื่อเป็นประโยชน์ให้มากที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้โดยไม่เป็นภาระของใครอีก”
ผู้อำนวยการปิดแฟ้มลงอย่างช้าๆ รอยยิ้มปรากฏขึ้นเล็กน้อย
“เป็นทางเลือกที่ชาญฉลาดมากครับนักวิจัยเบอร์มองต์ นี่คือทางออกที่ทำให้สถาบันได้ใช้ความสามารถของคุณต่อไป โดยลดความเสี่ยงทั้งต่อตัวคุณและต่อบุคลากรคนอื่น”
เขาหันกลับมามองเธอ
“คุณจะถูกย้ายแผนกอย่างเป็นทางการทันที ยินดีต้อนรับสู่ภารกิจใหม่ของคุณ”
แมรี่ได้รับอนุญาตให้ไปเยี่ยม อดีตนักวิจัยแกมม่าเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่เขาจะถูกย้ายไปยังอาคารบำบัดระยะยาวใหม่อย่างถาวร
เธอเดินเข้าไปในโซนเพาะเลี้ยงพืชที่เคยเป็นอาณาจักรของเขา ห้องยังคงเต็มไปด้วยพืชพรรณเขียวชอุ่มที่แกมม่าเคยดูแล พืชพรรณบางส่วนที่แกมม่าเคยดูแลได้ถูกอนุญาตให้เก็บไว้ในพื้นที่นี้ ภายใต้การดูแลอย่างเข้มงวด
แกมม่านอนอยู่บนเตียงพยาบาลที่ติดตั้งในห้องเดิมของเขา ร่างกายส่วนล่างถูกคลุมด้วยผ้าห่ม ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มจางๆ ที่ไม่เปลี่ยนแปลง
“แกมม่า” แมรี่เรียกชื่อเขาเบาๆ ผ่านหน้าต่างกั้นห้อง
แกมม่าลืมตาขึ้นมาอย่างเชื่องช้า
“แมรี่…แมรี่…” เสียงของเขาแหบพร่า
"คุณหายไปไหนมา… แคทรีน่าคิดถึงคุณมากเลย…"
เสียงของแกมม่าเริ่มเบาลงและนุ่มขึ้น
“…ดอกไม้ของผม…สวยไหม…”
“สวยค่ะ” เธอตอบอย่างอ่อนโยน
“คุณ… คุณยังมีความสุขอยู่ใช่ไหม?”
แกมม่าพยายามยกมือขึ้นช้าๆ แต่ทำได้เพียงกระดิกนิ้วเบาๆ
“มันช่าง..ไพเราะ…” เขาพึมพำ
“…เสียงของแคทรีน่า… ยัง… ไพเราะอยู่เสมอ…”
แมรี่ชำเลืองตามองมือของเขา มือที่เคยเป็นมือของนักวิจัยอัจฉริยะที่เต็มไปด้วยความสามารถ แต่ตอนนี้เป็นมือของผู้ถูกจองจำด้วยความสุขที่ถูกปรุงแต่ง
“ฉันต้องไปแล้วนะแกมม่า” แมรี่กล่าวเสียงแผ่ว
“ฉันตัดสินใจย้ายไปทำงานแปลเอกสาร ฉันจะทำงานอยู่เบื้องหลังและฉันจะใช้สมองของฉันเพื่อช่วยให้สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณไม่เกิดขึ้นกับใครอีกต่อไป”
แกมม่ามองเธอด้วยสายตาที่อ่อนล้าแต่รอยยิ้มยังคงอยู่ ในแววตาของเขา แมรี่เห็นความขมขื่นที่ซ่อนอยู่ใต้เปลือกของความสุข มันเป็นความขมขื่นที่แกมม่าเองก็ไม่สามารถยอมรับหรือสื่อสารออกมาได้อีกแล้ว
“…อืม…” แกมม่าพยักหน้าช้าๆ
“…ไปเถอะ… ข้างนอกนั่นน่ะ…ไม่มีใครเข้าใจ.เสียง.. ที่ผม…ได้ยินหรอก…”
แมรี่รู้ว่าบทสนทนาจบลงแล้ว เธอเดินออกจากห้องเพาะชำ ทิ้งนักวิเคราะห์อัจฉริยะผู้เป็นอัมพาตและถูกจองจำไว้ในความสุขนิรันดร์
เธอเริ่มก้าวเดินผ่านทางเดินยาวที่เชื่อมโซนเพาะเลี้ยงพืชเข้ากับส่วนหลักของศูนย์-20 ทุกย่างก้าวพาเธอออกจากแสงไฟสีเหลืองนวลในห้องของแกมม่า เข้าสู่แสงสีขาวปลอดเชื้อของสถาบันและขณะที่เธอเดิน ความขมขื่นของการสูญเสียก็ถาโถมเข้าใส่สถานที่แห่งนี้ ครั้งหนึ่งที่มันเคยดีกว่านี้
เธอจำได้ว่าโซนเพาะเลี้ยงพืชแห่งนี้ในอดีตเคยเป็นเหมือนโอเอซิสที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ในศูนย์ที่แห้งแล้งและตึงเครียดของสถาบัน แกมม่าเคยเป็นคนขี้เกียจ แต่ความขี้เกียจของเขาถูกกลบด้วยความกระตือรือร้นที่แท้จริงต่อชีววิทยาและพฤกษาศาสตร์
เธอเห็นภาพแกมม่าในความทรงจำ เขายืนอยู่ในชุดกาวน์สั้นที่เปื้อนดินเล็กน้อย ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มอย่างจริงใจของคนรักต้นไม้ มันไม่ใช่รอยยิ้มที่ถูกบิดเบือน เขากำลังอธิบายชื่อวิทยาศาสตร์ของต้นเฟิร์นหายากด้วยความหลงใหลอย่างบริสุทธิ์ ทุกวันคือการต่อสู้ที่สนุกสนานกับปริศนาทางชีววิทยา ไม่ใช่การต่อสู้กับความบิดเบือนทางจิตใจ
แต่ตอนนี้
ทุกอย่างมันกลายเป็นเพียงเปลือกที่ว่างเปล่า โซนเพาะเลี้ยงแห่งนี้กลายเป็นโรงพยาบาลมากกว่าห้องทดลอง แกมม่าที่เคยเฉลียวฉลาดเกินมนุษย์ กลายเป็นเครื่องมือสื่อสารที่น่าเวทนาสำหรับวัตถุที่อันตราย
ความผิดพลาดที่ขมขื่นที่สุด ไม่ได้อยู่ที่ SCP 300 TH แต่เป็นความผิดพลาดของนักวิจัยผู้ฉลาดสองคน ได้ปล่อยให้ความต้องการและความอ่อนโยน เข้ามาบดบังตรรกะและหน้าที่
แมรี่สัมผัสกับกุญแจห้องเก็บของส่วนตัวในกระเป๋าของเธอ เธอรอดมาได้ก็จริง แต่เธอจำเป็นต้องทิ้งชิ้นส่วนที่สำคัญที่สุดของตัวเองไว้เบื้องหลังความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอนของสถาบัน
เธอหยุดเดินที่ปลายสุดของทางเดิน หันกลับไปมองประตูห้องเพาะชำเป็นครั้งสุดท้าย
ไม่มีใครเข้าใจเสียงไพเราะที่แกมม่าได้ยินและนั่นอาจจะเป็นพรที่ประเสริฐที่สุดของเธอ
แล้วเธอก็เริ่มร้องไห้